
คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ วันที่ 1 ก.ย. 68
สภานิติบัญญัติได้มีมติเห็นชอบผ่านวาระ 3 ของญัตติแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการดึงดูดและว่าจ้างบุคลากรชาวต่างชาติแล้ว ในโอกาสนี้ นายหลิวจิ้งชิง ประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ (NDC) ได้แสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนของสมาชิกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจแห่งสภานิติบัญญัติ และสมาชิกพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมกันนี้ ปธ.หลิวฯ ยังได้ระบุว่า การแก้ไขร่างญัตติในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การผ่อนคลายกฎระเบียบมาตรการด้านการประกอบอาชีพและการพำนักอาศัย รวมไปถึงการเสริมสร้างหลักประกันทางสังคม ของกลุ่มบุคลากรยอดเยี่ยมในระดับนานาชาติ ,นักศึกษาชาวจีนโพ้นทะเล , ชาวไต้หวันที่พำนักอาศัยอยู่ในต่างแดน รุ่นที่ 2 และกลุ่มบุคคลที่หาเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า ผู้เร่ร่อนดิจิทัล ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เปี่ยมด้วยศักยภาพการแข่งขันระดับนานาชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมายว่าด้วยการยกระดับความครอบคลุมของกฎหมายว่าด้วยการดึงดูดบุคลากร และการรวบรวมบุคลากรทั่วโลกไว้ในไต้หวัน
NDC ได้ริเริ่มผลักดันการแก้ไขร่างญัตติกฎหมายฉบับนี้ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีที่แล้ว ซึ่งได้มีการจัดการประชุมเจรจาแบบข้ามหน่วยงานมาเป็นจำนวนครั้งนับไม่ถ้วน ซึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบ รวมทั้งสิ้น 33 มาตรา โดยได้รับความเห็นชอบจากสภาบริหารเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 จากนั้นได้ยื่นส่งให้สภานิติบัญญัติทำการพิจารณา ซึ่งได้รับมติเห็นชอบให้ผ่านทั้ง 3 วาระแล้ว เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา
สาระสำคัญของการแก้ไขร่างกฎหมายในครั้งนี้ ประกอบด้วย :
1.ขยายขอบเขตการจ้างงานของกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้กฎหมายข้างต้น เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการเดินทางมาไต้หวัน และยกระดับความสมัครใจในการว่าจ้างของผู้ประกอบการธุรกิจ
1.1) เพิ่มขอบเขตความเชี่ยวชาญของบุคลากรวิชาชีพเฉพาะด้าน ทั้งในเชิง “สิ่งแวดล้อม” และ “เทคโนโลยีชีวภาพ” ประกอบในเร็ววันนี้ ไต้หวันจะเปิดตัวกระทรวงการกีฬา จึงถือเป็นอีกทิศทางที่จะสามารถส่งเสริมให้บุคลากรต่างชาติเข้ามีส่วนร่วมได้
1.2) จัดเพิ่มอัตราการว่าจ้างอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในสาขาวิชาศิลปะและกิจกรรมเพื่อการศึกษารูปแบบสองภาษาที่เกี่ยวข้องของโรงเรียนภาครัฐและภาคเอกชน ในระดับชั้นก่อนมัธยมปลายศึกษา
1.3) มอบสิทธิการประกอบอาชีพอย่างเสรีในไต้หวันให้แก่คู่สมรสของบัณฑิตชาวต่างชาติ หรือบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ 200 อันดับแรกของโลก รวมถึงบุคลากรชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้
1.4) ผ่อนปรนคุณสมบัติเงื่อนไขประสบการณ์การทำงาน อย่างน้อย 2 ปีให้สำหรับกลุ่มบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 1,500 แห่งในโลก เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าทำงานในไต้หวันได้อย่างราบรื่น (กฎระเบียบเดิมคือ สถาบันระดับอุดมศึกษาชั้นนำ 500 แห่งของโลก)
2.ขยายเพิ่มระยะเวลาการพำนักในไต้หวันของกลุ่มผู้เร่ร่อนดิจิทัล โดยจะยืดขยายออกไปเป็นเวลา 2 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 6 เดือน
3. ผ่อนปรนกฎระเบียบการยื่นขออนุมัติบัตรถิ่นที่อยู่ถาวร (APRC) สำหรับชาวต่างชาติ เพื่อเพิ่มความสมัครใจในการพำนักในไต้หวัน
3.1) สำหรับบุคลากรชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับกฎระเบียบเดิม (อาทิ บุคคลที่มีรายได้สุทธิต่อปีมากกว่า 6 ล้านเหรียญไต้หวันขึ้นไป) สามารถยื่นขออนุมัติบัตร APRC ได้ทันที หลังจากพำนักอาศัยในไต้หวันครบ 1 ปี
3.2) ผ่อนปรนกฎระเบียบว่าด้วยการลดหย่อนจำนวนปีที่จะต้องพำนักในไต้หวันให้ครบตามกำหนด 1 – 3 ปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขตั้งต้นในการยื่นสมัครบัตร APRC สำหรับนักศึกษาชาวจีนโพ้นทะเลที่สำเร็จการศึกษาในระดับอนุปริญญาขึ้นไปในไต้หวัน
4. สร้างหลักประกันด้านแรงงานและสิทธิประโยชน์ทางสังคม ควบคู่ไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมการดึงดูดบุคลากรในไต้หวัน
4.1) ผ่อนปรนให้บุคลากรชาวต่างชาติ ได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่ระบบบำเหน็จบำนาญรูปแบบใหม่ (New Labor Pension System) ได้ โดยไม่ต้องมีบัตร APRC
4.2) ผ่อนปรนให้บุคลากรชาวต่างชาติที่ถือครองบัตร APRC สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้
4.3) สำหรับบุคลากรชาวต่างชาติและสมาชิกครอบครัวที่ถือบัตร APRC และพำนักอยู่ในไต้หวันครบ 10 ปี สามารถเข้ารับบริการด้านสวัสดิการสำหรับผู้ทุพพลลาภและการดูแลผู้สูงอายุในบางรายการได้
NDC แถลงว่า หลังเสร็จสิ้นการแก้ไขร่างกฎหมายแล้ว จะเร่งพิจารณากฎระเบียบย่อยและมาตรการที่เกี่ยวข้อง โดยจะอาศัยข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีสารสนเทศและเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ดึงดูดและแสวงหาบุคลากรผ่านการวางรากฐานในประชาคมโลก ตามพื้นฐานนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบ AI รวม 10 รายการ และโครงการย่านอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตใน 6 พื้นที่หลัก ขณะเดียวกัน ก็จะมอบหมายให้ Talent Taiwan ส่งมอบกลไกการบริการที่สอดรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรชาวต่างชาติสามารถสร้างรากฐานในไต้หวัน และปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตในพื้นที่ได้อย่างราบรื่น ตลอดจนมุ่งพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการพำนักอาศัยของบุคลากรชาวต่างชาติต่อไป