
กระทรวงเศรษฐการ วันที่ 6 ก.ย. 68
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นายเคอจิ้งชาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐการไต้หวัน พร้อมด้วยคณะตัวแทน ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (APEC SME Ministerial Meeting, SMEMM)ครั้งที่ 31 เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนกับกลุ่มผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในประเด็นแนวทางการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านเทคโนโลยีเกิดใหม่และความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ในโอกาสนี้ ตัวแทนเจ้าหน้าที่ไต้หวันได้ร่วมแบ่งปันมาตรการและผลสัมฤทธิ์ด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล , การบ่มเพาะบุคลากร AI และการกระตุ้นศักยภาพของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามจากผู้เข้าร่วมการประชุม นอกจากนี้ บรรดาผู้นำเขตเศรษฐกิจ ต่างได้ให้การยอมรับว่าเทคโนโลยีทันสมัย อาทิ AI ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาทางเทคโนโลยีและการยกระดับศักยภาพของกลุ่ม SMEs
การประชุมครั้งนี้มีกำหนดการจัดขึ้น ณ เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้หัวข้อ “การขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุมโดยผู้ประกอบการ SMEs” ระหว่างการประชุม ได้มีการเปิดการเสวนากันในประเด็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล , การลดคาร์บอนและการเปลี่ยนผ่านสีเขียว , ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เป็นต้น อีกทั้งยังได้มีการประกาศแถลงการณ์ระดับรัฐมนตรีและแผนริเริ่มเชจู (Jeju Initiative) หลังเสร็จสิ้นการประชุม ซึ่งปรากฎเนื้อความที่ระบุว่า “นวัตกรรม” และ “ความเชื่อมโยง” เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนของ SMEs จึงควรที่จะมุ่งพัฒนาการวิจัย เสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางความร่วมมือในเชิงลึก และจัดสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่หลากหลายและครอบคลุม เพื่อช่วยให้กลุ่มเป้าหมายสร้างผลสัมฤทธิ์ที่เพิ่มพูนมากขึ้น
ระหว่างการประชุมในครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้จัดการประชุมรอบนอกในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การสัมมนานวัตกรรมระบบนิเวศ SMEs , การสัมมนาเครือข่ายนวัตกรรม SMEs , การประชุมสุดยอดการลงทุนกิจการระดับโลก และนิทรรศการของกลุ่มสตาร์ทอัพ ควบคู่ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะด้านการแพทย์อัจฉริยะและนวัตกรรมเวชสำอาง เพื่อนำเสนอให้เห็นผลสัมฤทธิ์การพัฒนาด้านการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม SMEs ในเกาหลีใต้
รมช.เคอฯ ระบุว่า ไต้หวันมุ่งผลักดันการยกระดับ AI ในภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ควบคู่ไปกับการผลักดันมาตรการการบ่มเพาะบุคลากร ทั้งการจัดหลักสูตร AI รูปแบบออนไลน์และสถานที่จริง รวมไปถึงการออกแบบแผนการสอนขั้นสูงวิชาอุตสาหกรรมร่วมกับแวดวงผู้ประกอบการ เป็นต้น นอกจากนี้ พวกเรายังได้จัดวางแผน “โครงการคนรุ่นใหม่ด้าน AI” สำหรับนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา เพื่อส่งมอบโอกาสการฝึกอบรมทางวิชาชีพและการฝึกงานในภาคธุรกิจด้าน AI สำหรับเจ้าหน้าที่พนักงานในสายอาชีพ พวกเราจะจับมือกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนา 15 แห่ง พัฒนานำร่องสายการผลิต AI รวม 85 รายการ ภายใต้ “โครงการบุคลากรยอดเยี่ยมด้าน AI” ควบคู่ไปกับการดำเนินการฝึกอบรมและการฝึกปฏิบัติจริง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถประยุกต์ใช้สายการผลิตในการทดลองผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์
ภายใต้แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสีเขียวของระบบห่วงโซ่อุปทานโลก และการประยุกต์ใช้ AI ส่งผลให้การขับเคลื่อนการพัฒนาของกลุ่ม SMEs ผ่านความร่วมมือ นวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา ยิ่งทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น รมช.เคอฯ ชี้แจงระหว่างการประชุมเกี่ยวกับ แนวทางการชี้แนะหน่วยงานวิชาการและการวิจัยในการจัดตั้งสถาบันสตาร์ทอัพ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการวิจัยและพัฒนาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ และส่งเสริมการเชื่อมโยงและการบูรณาการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก นอกจากนี้ รมช.อู๋ฯ ยังได้ระบุว่า ไต้หวันเดินหน้าส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs จัดตั้งกลุ่มสตาร์ทอัพเพื่อเร่งบ่มเพาะบุคลากร ซึ่งนอกจากจะสามารถนำเข้านวัตกรรมจากภายนอกเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จในการรุกขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ อันจะเป็นการดึงดูดผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจากนานาประเทศทั่วโลก เข้ามาร่วมสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ยืดหยุ่นและมีความเป็นสากลในไต้หวันต่อไปในอนาคต