
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 10 ก.ย. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 กันยายน 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “การประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ประจำปี 2568” พร้อมระบุว่า ความยืดหยุ่นของประเทศชาติครอบคลุมรวม 4 มิติ ได้แก่ : ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน ความยืดหยุ่นของระบบสารสนเทศในยุคดิจิทัล ความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นมิใช่กลไกการปกป้องประเทศในเชิงรับ แต่เป็นการกำหนดอนาคตในเชิงรุก มีเพียงการแสวงหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ ความมั่นคงทางเทคโนโลยี เสถียรภาพทางสังคม และความหลากหลายทางเศรษฐกิจเท่านั้น จึงจะสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวนเช่นนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ปธน.ไล่ฯ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะจับมือกับภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและภาควิชาการ ในการร่วมกำหนดอนาคตของไต้หวันที่มีความมั่นคง เสถียรภาพ ความยั่งยืนและเชื่อมโยงกัน
เริ่มต้น ปธน.ไล่ฯ กล่าวแสดงความขอบคุณต่อสำนักข่าว Liberty Times และบริษัท Chunghwa Telecom ที่ร่วมกันจัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อร่วมอภิปรายแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในไต้หวัน ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนในปัจจุบัน ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ขณะนี้ พวกเราอยู่ในยุคสมัยที่ไม่มีอะไรแน่นอน กลไกกทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความซับซ้อน รวมไปถึงความท้าทายลูกผสมที่ประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร ภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และสงครามจิตวิทยา เป็นต้น ซึ่งวิกฤตเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าของประเทศชาติ รวมถึงความเป็นอยู่ของภาคประชาชน ท่ามกลางยุคสมัยเช่นนี้ ความมั่นคงของชาติจึงมิได้จำกัดเพียงเฉพาะแค่การป้องกันประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปสู่มิติต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน พลังงาน ความมั่นคงทางไซเบอร์ เป็นต้น ในฐานะที่ไต้หวันเป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านประชาธิปไตยโลก พวกเราจะมุ่งยกระดับความยืดหยุ่นในภาพรวมของประเทศชาติอย่างแข็งขัน เพื่อความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
ปธน.ไล่ฯ เผยว่า ความยืดหยุ่นของประเทศชาติครอบคลุมรวม 4 มิติ ได้แก่ : “ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน” เนื่องจากไต้หวันสวมบทบาทสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เมื่อเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และพลวัตทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมุ่งเสริมสร้างความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้ผลักดัน “อุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้” 5 รายการ ประกอบด้วย เซมิคอนดักเตอร์ , เทคโนโลยี AI , อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ , การควบคุมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ เพื่อผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรม เสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่สำคัญ ตลอดจนลดการพึ่งพาตลาดเพียงหนึ่งเดียว ผ่านการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งนี่ถือเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจ และเป็นกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานในการรักษาความมั่นคงของประเทศชาติ
“ความยืดหยุ่นของระบบสารสนเทศในยุคดิจิทัล” ความมั่นคงของระบบสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร ถือเป็นหัวใจสำคัญของความยืดหยุ่นของประเทศชาติ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างและระบบการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่ครอบคลุม ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็กำลังเดินหน้ารักษาความปลอดภัยข้อมูลภายในองค์กร และความปลอดภัยของข้อมูลการติดต่อสื่อสาร ระหว่างไต้หวันและโลกนานาชาติ โดยกำหนดให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ บัญญัติเข้าสู่ภารกิจสำคัญในอนาคต ตลอดจนจับมือกับหุ้นส่วนและภาคอุตสาหกรรมนานาชาติ ร่วมกันจัดตั้งระบบความมั่นคงทางไซเบอร์ที่มีมาตรฐานสูง ทั้งนี้ เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และเพื่อให้แน่ใจว่า ระบบสารสนเทศและการสื่อสารจะ “ไม่เกิดการขาดช่วง” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด
“ความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม” ความยืดหยุ่นของชาติจำเป็นต้องตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นและการผนึกกำลังร่วมกันของภาคประชาชน ไม่สามารถพึ่งพาเฉพาะศักยภาพทางกลาโหมเพียงอย่างเดียว โดยรัฐบาลจะเดินหน้าสร้างเครือข่ายความมั่นคงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการฝึกซ้อมการรับมือกับวิกฤต และการประสานงานแบบข้ามหน่วยงาน เพื่อให้มั่นใจว่า ภาคประชาชนจะรู้สึกมั่นคง มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทั้งจากภัยพิบัติ หรือผลกระทบที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์
“ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ” ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า หลายปีมานี้ ระบบเศรษฐกิจของไต้หวันยังคงมุ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2568 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อยู่ที่ 6.75% อัตราการจ้างงานแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี อัตราการว่างงานมีเพียง 3.3% และคาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดปีจะอยู่ที่ 4.45% ซึ่งครองสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานโลกติดต่อกัน 2 ปีซ้อน ต่อประเด็นการรับมือกับการเปลี่ยนผ่านและการยกระดับของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และมาตรการภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ในอนาคต รัฐบาลนอกจากจะมุ่งดำเนินการตามแผนการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ในงบประมาณ 93,000 เหรียญไต้หวัน ที่ยื่นเสนอโดยนายจั๋วหรงไท่ นายกรัฐมนตรีไต้หวันแล้ว ยังคาดหวังที่จะเห็นหน่วยงานทางการเงินเฝ้าติดตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
ปธน.ไล่ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนการอนุมัตสินเชื่อ สถาบันการเงินจำเป็นต้องคำนึงถึงความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงของผู้ยื่นขออนุมัติ เพื่อให้แน่ใจว่า เงินทุนสามารถไหลเวียนได้อย่างเสรี ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างระบบการเงินที่ไม่ขาดช่วงด้วยนวัตกรรมทางการเงิน การยกระดับของภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนแบบข้ามพรมแดน
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า ขณะนี้ รัฐบาลกำลังมุ่งผลักดัน “โครงสร้างพื้นฐาน AI รูปแบบใหม่ 10 รายการ” อย่างแข็งขัน โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศ วางรากฐานเทคโนโลยีทันสมัย ควบคู่ไปกับการจับทิศทางโอกาสในอนาคตของ AI และแนวโน้มเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เทคโนโลยี AI แทรกซึมเข้าสู่อุตสาหกรรมทุกแขนงสาขา ทั้งนี้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมทุกภาคส่วน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการแข่งขันของไต้หวันในรูปแบบใหม่ เชื่อว่าการยกระดับศักยภาพและความยืดหยุ่นของ SMEs จำนวน 1.6 ล้านรายของไต้หวัน จะเป็นการช่วยส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจในไต้หวัน เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป