ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไล่ชิงเต๋อ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม
2025-09-22
New Southbound Policy。ปธน.ไล่ชิงเต๋อ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.ไล่ชิงเต๋อ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 20 ก.ย. 68
 
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 กันยายน 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วมพิธีเปิด “การประชุมคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม” พร้อมทั้งระบุว่า ในปัจจุบัน ไต้หวันและประชาคมโลกต่างกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤตจากการผนึกกำลังสร้างความเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศลัทธิอำนาจนิยม พวกเราจึงจำเป็นต้องเร่งมือในการเตรียมความพร้อมอย่างกระตือรือร้น “คณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม” ที่จัดตั้งขึ้น ในทำเนียบประธานาธิบดี มาเป็นระยะเวลา 1 ปี ได้ดำเนินภารกิจใน 5 มิติหลักอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การวางแผนหารือกลยุทธ์กันที่ประชุมไปจนถึงการปฏิบัติการที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังเป็นปีแรกที่ได้มีการบูรณาการ ระหว่างกลไกการป้องกันภัยพิบัติและการป้องกันประเทศ อันจะเห็นได้จากการจัดการฝึกซ้อมทหาร ภายใต้รหัสฮั่นกวง (Han Kuang Exercise) ควบคู่ไปกับการฝึกซ้อมความทรหดในเมือง (Urban Resilience Exercise) โดยไม่มีการแบ่งแยกอาชีพ เพศสถานะหรืออายุ ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมได้อย่างเท่าเทียม
 
ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าเสริมสร้างขีดความสามารถทางกลาโหมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดเพิ่มงบประมาณความยืดหยุ่นทางความมั่นคงของประเทศชาติ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ กระทรวงกลาโหมได้ประกาศเปิดตัวคู่มือกลาโหมสำหรับภาคประชาชน ฉบับใหม่ ในชื่อ “เมื่อวิกฤตมาเยือน : คู่มือความมั่นคงปลอดภัยสำหรับภาคประชาชนชาวไต้หวัน”
 
สาระสำคัญของการกล่าวปราศรัยของปธน.ไล่ฯ ในครั้งนี้ สามารถสรุปโดยสังเขปได้ ดังนี้ :
 
วิกฤตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ที่ทั่วโลกต้องร่วมเผชิญหน้า เป็นบททดสอบของโครงสร้างพื้นฐานเชิงสาธารณูปโภคในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและการควบคุมโรคระบาด สร้างแรงกดดันอย่างหนักหน่วงต่อระบบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุข
 
วิกฤตจากการผนึกกำลังสร้างความเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศลัทธิอำนาจ โดยมีรัฐบาลจีนเป็นหัวแรงหลักนั้น นับวันยิ่งแทรกซึมและบ่อนทำลายสังคมประชาธิปไตย ด้วยวิธีการเข้ารุกรานและสงครามลูกผสม ทั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างความแตกแยกในภาคประชาสังคมของไต้หวัน ตลอดจนเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบันและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาค
 
ด้วยเหตุนี้ การประชุมคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายนของปี 2567 ปธน.ไล่ฯ จึงได้ยื่นเสนอแนวทางการดำเนินภารกิจใน 5 มิติหลัก ประกอบด้วย : การฝึกอบรมศักยภาพพลเรือน การจัดสรรทรัพยากรและเวชภัณฑ์ ความมั่นคงด้านพลังงาน การแพทย์และการหลบภัย รวมไปถึงการคุ้มครองความปลอดภัยของระบบสารสนเทศและระบบการเงิน แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณความสามัคคี ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
 
ปธน.ไล่ฯ เชื่อว่า เมื่อพวกเราสามัคคีปรองดองซึ่งกันและกัน ประเทศชาติก็จะยิ่งมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น เมื่อพวกเรามีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงและสกัดกั้นการอุบัติขึ้นของวิกฤตต่างๆ ได้
 
“สันติภาพจำเป็นต้องพึ่งพาศักยภาพ ศักยภาพต้องพึ่งพาความยืดหยุ่น” เป็นเป้าหมายร่วมกันของพวกเรา ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลส่วนกลางไปจนถึงส่วนท้องถิ่น ต่างเร่งมือจัดเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างขมักเขม้น นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นว่า มีธุรกิจเอกชน องค์การอาสาสมัคร และองค์การศาสนา รวมถึงองค์การ NGO ที่ทยอยดำเนินการเตรียมความพร้อมควบคู่ไปด้วย ผ่านการจัดการฝึกอบรมและการฝึกซ้อมปฏิบัติจริง
 
ในอนาคต ไต้หวันนอกจากจะกำหนดให้งบประมาณทางกลาโหมในปี พ.ศ. 2569 มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น 3.32% ของ GDP และคาดว่าจะสามารถพิชิตเป้าหมาย 5% ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามมาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) พวกเรายังจะจัดสรรงบประมาณ จำนวน 150,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม ที่ครอบคลุมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การรวบรวมสะสมเวชภัณฑ์ให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพที่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและฟังก์ชันความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ การขยายขอบเขตมาตรการการรับมือ ด้วยยานยนต์ไร้คนขับ และการจัดตั้งกลไกการป้องกันและสกัดกั้น รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและโกดังเพื่อการป้องกันภัย ตลอดจนการจัดเตรียมพื้นที่หลบภัยชั้นใต้ดิน
 
ขณะนี้ หลายประเทศในทวีปยุโรป เร่งเพิ่มงบประมาณทางกลาโหม ควบคู่ไปกับการประกาศเผยแพร่คู่มือการรับมือกับภัยพิบัติสำหรับภาคประชาชน โดยจะทำการแจกจ่ายให้สาธารณชนได้รับข้อมูลอย่างเท่าเทียมกันถ้วนหน้า ซึ่งไต้หวันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน
 
สาระสำคัญที่พวกเราต้องการแจ้งต่อสาธารณชนคือ “หากวันใดที่ไต้หวันถูกรุกรานด้วยกำลังทหาร หากได้รับข้อมูลข่าวสารที่ระบุถึง การประกาศพ่ายแพ้ในศึกสงคราม หรือรัฐบาลประกาศยอมแพ้ ขอให้ทราบไว้ว่า ข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวเท็จทั้งสิ้น”
 
ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความท้าทายเช่นนี้ มิตรสหายทั่วโลกมีบทบาทที่สำคัญสำหรับพวกเราเป็นอย่างมาก การประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
 
ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ พวกเราได้ติดต่อเชิญเจ้าหน้าที่ตัวแทนศูนย์ช่วยเหลือทางเทคโนโลยี (Technisches Hilfswerk, THW) ของเยอรมนี เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์การฝึกอบรมศักยภาพของเหล่าพลเรือน ส่วนเจ้าหน้าที่ตัวแทนกรมกำกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานแบบฉุกเฉิน (National Emergency Supply Agency, NESA) ของฟินแลนด์ และกรมควบคุมความเร่งด่วนฉุกเฉิน (Hawaii Emergency Management Agency, HI-EMA) ของรัฐฮาวาย ได้เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเตรียมพร้อมด้านเวชภัณฑ์สำรอง นอกจากนี้ Magen David Adom (MDA) สภากาชาดแห่งชาติของอิสราเอล , องค์การอวกาศสหราชอาณาจักร (United Kingdom Space Agency) , สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute, ASPI) และหอการค้าสหรัฐฯ ในไต้หวัน (AmCham Taiwan) ก็ยังจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในประเด็นความมั่นคงทางเครือข่ายการเงิน พลังงาน การแพทย์และระบบสารสนเทศ เป็นต้น