ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
สภาบริหารไต้หวันจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มสตรี เพื่อเสริมสร้างการเสวนาแบบข้ามพรมแดนในประเด็นความเสมอภาคทางเพศที่มีการพัฒนายั่งยืนและกลไกการบริหารในรูปแบบดิจิทัล (E-Governance)
2025-10-09
New Southbound Policy。สภาบริหารไต้หวันจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มสตรี เพื่อเสริมสร้างการเสวนาแบบข้ามพรมแดนในประเด็นความเสมอภาคทางเพศที่มีการพัฒนายั่งยืนและกลไกการบริหารในรูปแบบดิจิทัล (E-Governance) (ภาพจากสภาบริหาร)
สภาบริหารไต้หวันจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มสตรี เพื่อเสริมสร้างการเสวนาแบบข้ามพรมแดนในประเด็นความเสมอภาคทางเพศที่มีการพัฒนายั่งยืนและกลไกการบริหารในรูปแบบดิจิทัล (E-Governance) (ภาพจากสภาบริหาร)

สภาบริหาร วันที่ 8 ต.ค. 68

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 สภาบริหารไต้หวันจัด “การประชุมนานาชาติว่าด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มสตรี : การพัฒนาที่ยั่งยืนและการบูรณาการในรูปแบบดิจิทัล” (Women as Economic Drivers : Symposium on Digital Inclusion and Sustainable Development) ขึ้น ณ กรุงไทเป โดยมุ่งเน้นการอภิปรายไปที่ประเด็นความเสมอภาคทางเพศในด้านเศรษฐกิจการค้า ดิจิทัลและความยั่งยืน โดยได้ติดต่อเชิญผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ อาทิ Ms. Antonia Cósmica Orellana Guarello รัฐมนตรีฝ่ายกิจการสตรีและความเท่าเทียมทางเพศของสาธารณรัฐชิลี Ms. Lee Ji-yeon ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Hankuk University of Foreign Studies (HUFS) และ Mr. Joseph Odiari ตัวแทนกระทรวงพาณิชย์และการค้าอังกฤษ รวมถึงตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเสริมสร้างความครอบคลุมของมุมมองเพศสถานะในการกำหนดนโยบายของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
 
สำนักงานความเสมอภาคทางเพศ ภายใต้สภาบริหาร แถลงว่า การประชุมครั้งนี้ขานรับต่อแถลงการณ์การประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรีแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 69 (CSW69) ประจำปี 2568 และถือเป็นช่วงเวลาที่ประชาคมโลกจะย้อนพิจารณาประวัติศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากการผลักดันสิทธิสตรี และ “การบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลัก” (Gender Mainstreaming) พร้อมกำหนดทิศทางในอนาคต ที่มุ่งเน้นในหลักทฤษฎีความยั่งยืน ดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความครอบคลุมทางเพศในด้านเศรษฐกิจและการค้า
 
นายหลินหมิงซิน รัฐมนตรีประจำสภาบริกหาร กล่าวขณะปราศรัยว่า นับตั้งแต่ที่ไต้หวันมุ่งผลักดัน “การบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลัก” ในปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ก็ได้มีการกำหนดให้มุมมองเพศสถานะ บรรจุเข้าสู่นโยบายด้านต่างๆ ซึ่งบังเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมในด้านต่างๆ อาทิ การศึกษา สุขภาพ การเข้าร่วมทางการเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อันจะเห็นได้จากการที่สมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้หญิงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 ; การก้าวสู่ประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่มีมติผ่านกฎหมายว่าด้วยการสมรสของบุคคลเพศเดียวกัน นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำหนดให้สัดส่วนของทั้งชายและหญิงในบอร์ดคณะกรรมการบริหารของบริษัท ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม เพื่อส่งเสริมให้สตรีมีโอกาสเข้าสู่การตัดสินใจขององค์กร รมว.หลินฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวันในฐานะที่เป็นประเทศผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และเป็นเขตเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างสูง จึงควรที่จะแบกรับหน้าที่ในการเป็นต้นแบบ ด้วยการแสดงให้เห็นถึงสถานภาพที่สำคัญด้านความเสมอภาคทางเพศในภูมิภาคเอเชีย โดยนำเอาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง มาประยุกต์ใช้ในแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ตลอดจนเดินหน้าเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือกับนานาประเทศในเชิงลึกต่อไป
 
สนง.ความเสมอภาคทางเพศ ชี้แจงว่า การประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วยการเสวนาในหัวข้อพิเศษ รวม 3 รอบ ในจำนวนนี้ รมว. Antonia Cósmica Orellana Guarello ได้แสดงปาฐกถาในหัวข้อ “สรรสร้างอนาคตที่ยั่งยืนที่เปี่ยมด้วยความครอบคลุมสำหรับเยาวชนสตรี” โดยระบุว่า ชิลีกำหนดให้การลงทุนในกลุ่มเยาวชนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนระดับชาติ เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายเกิดใหม่ ชิลีได้มุ่งผลักดันการเคลื่อนไหวในแคมเปญ “Don’t Make It Viral” ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างการบัญญัติกฎหมายการป้องกันความรุนแรงทางดิจิทัล และให้การสนับสนุนเยาวชนสตรีเปลี่ยนผ่านจากบทบาท “บุคคลที่ได้รับความคุ้มครอง” มาสู่ “หัวแรงหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต” ลำดับต่อมา นางเหยียนซืออี๋ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาสิทธิสตรี ได้แสดงปาฐกถา โดยได้วิเคราะห์ความคืบหน้าของภารกิจ “การบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลัก” พร้อมระบุว่า ทั่วโลกยังคงต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคทางโครงสร้างและกรอบความคิดเดิมๆ ในระหว่างการผลักดันความเสมอภาคทางเพศ รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาดิจิทัล นอกจากนี้ คังถิงอวี๋ ผู้ช่วยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเจิ้งจื้อ (NCCU) ก็ได้เน้นย้ำว่า ภายใต้ยุคสมัยที่เทคโนโลยี AI มีการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การสร้างหลักประกันด้านการประยุกต์ใช้และพัฒนาทางเทคโนโลยี ที่ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาคทางเพศ ถือเป็นความท้าทายที่สังคมสมัยใหม่ต้องมุ่งเผชิญหน้าอย่างเร่งด่วน
 
สนง.ความเสมอภาคทางเพศ ระบุเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ยังได้มุ่งอภิปรายหัวข้อการประชุมผ่านการเสวนากับผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ รวม 3 รอบ โดยในหัวข้อ “การเข้าร่วมของกลุ่มสตรีในการพัฒนาความยั่งยืน” บรรดาผู้เข้าร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องว่า กลุ่มสตรีเป็นหัวแรงหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ มีเพียงการส่งเสริมการเข้าร่วมของกลุ่มสตรี และกำหนดมุมมองเพศสถานะเข้าสู่แผนปฏิบัติการ จึงจะสามารถสร้างหลักประกันที่สอดคล้องกับหลักการไม่ละทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง ส่วนหัวข้อ “การบริหารในรูปแบบดิจิทัลและความรุนแรงทางเพศบนโลกดิจิทัล” บรรดาผู้เข้าร่วมเสวนาต่างระบุว่า อคติทางเพศไม่เพียงแต่พบเห็นได้ในสังคมรูปแบบเดิม แต่ยังอาจจะแทรกซึมเข้าสู่อุปกรณ์ดิจิทัลที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลาง แต่อาจจะซุกซ่อนไว้ซึ่งอคติแบบเดิมๆ ก่อเกิดเป็นฐานบ่มเพาะความคิดด้านการเลือกปฏิบัติทางเพศและความรุนแรงทางเพศ สำหรับหัวข้อ “การบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลัก” ในโลกการค้าระหว่างประเทศ ได้ติดต่อเชิญตัวแทนที่ร่วมลงนามความตกลงว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางการค้า (Enhanced Trade Partnership, ETP) อย่างเป็นทางการกับไต้หวันในปีนี้ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐไต้หวัน ในประเด็นแนวโน้มความครอบคลุมทางเพศในข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ และแนวทางการส่งเสริมกลุ่มสตรีเข้ามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก