
กระทรวงวัฒนธรรม วันที่ 13 ต.ค. 68
เทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนนานาชาติไต้หวัน ประจำปี 2568 (Taiwan International Human Rights Film Festival) มีกำหนดการเปิดฉากขึ้น ณ กรุงไทเปและนครเกาสง ในช่วงระหว่างวันที่ 19 กันยายน – 12 ตุลาคม 2568 ซึ่งได้ปิดฉากลงเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา และได้มีการประกาศรายชื่อมอบ “รางวัลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชน” (Human Rights Film Awards) ขึ้น ณ โรงละครแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก กรุงไทเป
เพื่อยกระดับการมองเห็นและชื่อเสียงของเทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนนานาชาติไต้หวัน ในปีนี้ พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงได้ปรับเปลี่ยนให้การจัดนิทรรศการภาพยนตร์ มาเป็นเทศกาลภาพยนตร์ และจัดตั้ง “รางวัลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชน” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนร่วมอภิปรายกันในประเด็นสิทธิมนุษยชนผ่านผลงานภาพยนตร์ ซึ่งรางวัลแบ่งออกเป็น “กลุ่มเยาวชน” (อายุ 18 จนถึงอายุไม่เกิน 36 ปี) และ “กลุ่มวัยกลางคน” (อายุ 36 ปีขึ้นไป) ซึ่งแต่ละกลุ่มจัดให้มีรางวัล 3 ประเภท ได้แก่ : รางวัลชนะเลิศ ที่จะได้รับเงินรางวัล 150,000 เหรียญไต้หวัน รางวัลผลงานยอดเยี่ยม ที่จะได้รับเงินรางวัล 100,000 เหรียญไต้หวัน และรางวัลชมเชย ที่จะได้รับเงินรางวัล 50,000 เหรียญไต้หวัน โดยในครั้งแรกที่จัดขึ้นก็สามารถดึงดูดผลงานเข้าร่วมการประกวดได้เป็นจำนวน 102 รายการ
นายหวังสือซือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เนื้อหาของภาพยนตร์ที่ส่งเข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ ครอบคลุมในหลากหลายแง่มุม ทั้งเหตุการณ์ White Terror , สถานการณ์ด้านแรงงาน , ความยุติธรรมตามกระบวนการ , เสรีภาพทางความเชื่อและการอพยพ เป็นต้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสื่อกลางภาพยนตร์ในการเปิดการเสวนา ระหว่างความทรงจำของประชาสังคมและสิทธิมนุษยชน และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า มีเพียงดินแดนไต้หวันที่เปี่ยมด้วยเสรีภาพแห่งนี้ ที่เราสามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้ โดยในอนาคต เราจะมุ่งผลักดันการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน ผ่านการจัดเทศกาลรูปแบบนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนเกิดความเข้าใจต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนรูปแบบต่างๆ ผ่านสื่อภาพยนตร์ และเป็นสักขีพยานในผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนาประชาธิปไตยของไต้หวัน
รมช.หวังฯ เน้นย้ำว่า กระทรวงวัฒนธรรมไม่เคยลืมเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก โดยในอนาคต เราจะประยุกต์ใช้สถานที่แห่งนี้ จัดการส่งเสริมการศึกษาด้านประชาธิปไตยและเสรีภาพ เพื่อให้ประชาคมโลกร่วมตระหนักเห็นถึงความมุ่งมั่นพยายามของไต้หวัน ที่ต้องการจะสร้างหลักประกันด้านประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน
ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศใน “กลุ่มเยาวชน” คือ “A Better Place” ที่สร้างสรรค์โดยนายหวงหย่งคัง (Ben Oui) ผลงานดังกล่าวได้บรรยายเรื่องราวของนักศึกษาชาวเวียดนาม 2 คน ที่เดินทางมาเข้ารับการศึกษาต่อในไต้หวัน ซึ่งพวกเธอค้นพบว่า วิถีชีวิตจริงและโลกจินตนาการแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นักศึกษาต่างชาติและแรงงานต่างชาติ ดูเหมือนจะไม่ต่างกันในมุมมองความคิดเห็นของชาวไต้หวัน พวกเธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนสถาบันการศึกษา เพื่อหวังที่จะได้รับโอกาสและอนาคตที่ดียิ่งขึ้น แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ ผู้กำกับหวงฯ เล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ว่า สังคมเด็กเกิดน้อยและภาวะขาดแคลนแรงงาน เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมปัจจุบันของไต้หวัน หวงฯ หวังที่จะถ่ายทอดให้เห็นถึงเรื่องราวในวิถีชีวิตประจำวันและความทรมานใจของกลุ่มนักศึกษาต่างชาติ ผ่านการเล่าเรื่องของสองตัวละคร โดยนำเสนอภาพความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ ที่ได้รับการมองว่าเป็นทั้ง “นักศึกษา” และ “แรงงาน” ซึ่งเหล่าคณะกรรมการ ต่างคิดเห็นว่า มุมมองการเล่าเรื่องผ่านผลงาน “A Better Place” ได้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ปัญหาแรงงาน และโครงสร้างตลาดแรงงานของไต้หวัน แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อปัญหาสิทธิมนุษยชน
สำหรับรายชื่อที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ “Between Farewells and New Beginnings” ที่สร้างสรรค์โดยเหยียนฉีอิ๋ง (Yen Chi-ying) เป็นเรื่องราวของสาวจีนท่านหนึ่งที่แต่งงานมาอยู่ไต้หวัน เธอต้องเข้าพำนักอาศัยในชุมชนบ้านพักของภรรยาทหารอาวุโสและทหารผ่านศึก แต่กลับต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาคารบ้านพักกำลังจะถูกรื้อถอน ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไรต่อไปจากนี้ ต้องติดตามชม ส่วนรายชื่อผลงานชมเชย ได้แก่ “Where'd My Brother Go?” ที่สร้างสรรค์โดยนายเฉินจวิ้นเหว่ย (Chen Jun-wei) เป็นเรื่องราวที่พี่ชายของพระเอก ได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2556 และในช่วงปลายปีนั้น มีมิตรสหายของครอบครัวที่อ้างตนว่า สามารถติดต่อสื่อสารกับพี่ชายที่ล่วงลับไปแล้ว และส่งผ่านข้อความที่ว่า พี่ชายต้องการให้นำเถ้ากระดูกย้ายไปไว้ที่อื่น หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป เฉินฯ ได้ติดต่อขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหวังจะได้คำตอบว่า “พี่ชายตายแล้ว ไปไหน”
ส่วนผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศใน “กลุ่มวัยกลางคน” คือ “The Taste of Pork Belly” ที่สร้างสรรค์โดยสุยซูเฟิน (Sophie Shui) ซึ่งผู้กำกับสุยฯ เผยว่า เรื่องราวเริ่มต้นจากนักเขียนอาวุโสท่านหนึ่งที่ต้องเผชิญสภาวะ “ความหิวโหย” เมื่อครั้งวัยเยาว์ เนื่องจากบิดาถูกใส่ร้ายจนจำต้องติดคุก และเด็กชายยังค้นพบความลับแสนเศร้า ที่มารดาต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารประทังชีวิตลูกๆ ภาพที่น่าสลดใจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการกดขี่ทางการเมืองและสังคมที่ยากจนข้นแค้น ภายใต้ยุคสมัย White Terror ในช่วงทศวรรษ 1960 เหล่าคณะกรรมการให้ความเห็นว่า “The Taste of Pork Belly” บรรยายเรื่องราวผ่านมุมมองของผู้หญิงที่มีสถานภาพเป็นภรรยาและมารดา ซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์ทั่วไปที่บอกเล่าเรื่องราวในยุคสมัยนั้น ผ่านมุมมองของผู้ชาย เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวรรณกรรม
สำหรับรายชื่อที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ “The Treasure Seeker” ที่สร้างสรรค์โดยนายเจี่ยงห้วนหมิน และซุนเสี่ยวถง บอกเล่าเรื่องราวความอยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัย White Terror ที่ศิลปินท่านหนึ่งต้องเผชิญ ส่วนรายชื่อผลงานชมเชยได้แก่ “Ash” ที่สร้างสรรค์โดยนายหลี่เจียหัว (Lee Chia-hua) บอกเล่าเรื่องราวของบุตรสาวที่เสียชีวิตลงเนื่องด้วยอุบัติเหตุ ด้วยความคับแค้นใจ บิดาจึงตัดสินใจแก้แค้นด้วยการพกมีดบุ่มบ่ามเข้าหาผู้ก่อเหตุ ในวันที่เขาพ้นโทษออกมา แต่การกระทำบางอย่างโดยมิได้เจตนาของผู้ก่อเหตุ กลับช่วยบรรเทาความคับแค้นที่ซุกซ่อนภายในใจของบิดาได้อย่างน่าประหลาดใจ