
กระทรวงเศรษฐการ วันที่ 16 ต.ค. 68
งานมหกรรม Taiwan Innotech Expo (TIE) ประจำปี 2568 เปิดฉากขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้า Taipei World Trade Center (TWTC) อาคาร 1 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา กิจกรรมในปีนี้ร่วมจัดขึ้นโดยเทศบาลท้องถิ่น 11 แห่ง พร้อมด้วยสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกแห่งไต้หวัน (TAITRA) และสถาบันวิจัยเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมไต้หวัน (ITRI) ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมแบบข้ามแวดวงด้วย AI ขับเคลื่อนอนาคตด้วยผลงานอัจฉริยะ” แสดงให้เห็นบทบาทสำคัญของไต้หวันในห่วงโซ่อุปทานทางคุณค่าเทคโนโลยีระดับโลก
นายก่งหมิงซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการไต้หวัน กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้นอกจากจะรวบรวมไว้ซึ่งศักยภาพการวิจัยพัฒนาของหน่วยงานภาครัฐแล้ว ยังรวบรวมไว้ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการกว่า 400 รายจาก 19 ประเทศ ผลงานที่นำมาจัดแสดง มีทั้งสิ้นกว่าพันรายการ ซึ่งระดับความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่างาน SEMICON Taiwan เลย
รมว.ก่งฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ TIE จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา ประกอบกับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญระดับชาติ ตั้งแต่ “โครงการนวัตกรรมอุตสาหกรรม 5+2” , “อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 6 ด้านหลักของไต้หวัน” , “5 อุตสาหกรรมหลักที่มีความน่าเชื่อถือ” มาจนถึงการผลักดัน “โครงการพื้นฐานทางสาธารณูปโภคใหม่ด้วย AI” ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอให้ประชาคมโลกประจักษ์เห็นผลงานเทคโนโลยีทันสมัยอย่างต่อเนื่อง
รมว.ก่งฯ เน้นย้ำว่า TIE มุ่งเน้นการบูรณาการแบบข้ามแวดวง ระหว่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีที่ยั่งยืน โดยในจำนวนนี้ ผลงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI มีจำนวนมากกว่า 300 รายการ เชื่อว่าจะสามารถก่อเกิดเป็นระบบนิเวศด้าน AI อันเป็นการวางรากฐานทางเทคโนโลยีในอนาคตที่ดีงาม เพื่อสร้างประโยชน์แก่อุตสาหกรรมทุกแขนงสาขา นอกจากนี้ TIE ยังกลายเป็นแพลตฟอร์มการค้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญระดับโลก ซึ่งได้มีการจัดการประชุมนานาชาติในประเด็น AI และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ จึงนับว่าเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าและคุ้มค่าสำหรับการเข้าเยี่ยมชม
TIE ประจำปีนี้ประกอบด้วย 3 คูหา 1 โซนหลัก ได้แก่ “โซนการประกวดผลงานประดิษฐ์คิดค้น” ที่รวบรวมไว้ซึ่งผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดกว่า 500 รายการ ในการเข้าชิง “รางวัล Platinum Award” โดยในจำนวนนี้ มีผลงานจำนวน 70 รายการที่อัดฉีดเทคโนโลยี AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งในองค์ประกอบ นำเสนอให้เห็นถึงความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดของการประยุกต์ใช้แบบข้ามแวดวง ซึ่งไม่เพียงแต่เผยให้เห็นถึงศักยภาพของหน่วยงานวิชาการและการวิจัย แต่ยังมีผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงผู้ประดิษฐ์คิดค้น ที่ยื่นเสนอแผนโซลูชันการแก้ไขปัญหาด้วย AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI ได้แผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมไปสู่ภาคประชาชนทุกหมู่เหล่า และเป็นการสร้างหลักชัยใหม่สำคัญในการก้าวสู่นวัตกรรมเพื่อมวลชนของไต้หวันอีกด้วย
ส่วน “คูหา Taiwan Patent GO” ที่จัดตั้งโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้กระทรวงเศรษฐการไต้หวัน ได้รวบรวมไว้ซึ่งสิทธิบัตรที่ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นแห่งชาติ ประจำปี 2567 จำนวน 40 รายการ รวมถึงสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ 11 รายการ พร้อมทั้งจัดตั้งโซนสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมมองเห็นการตอบสนองแก้ไขปัญหาทางสุขภาพในสังคมอนาคตด้วยสิทธิบัตร ผ่านการจำลองสถานการณ์การแพทย์ในวิถีชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ TIE ยังมีอีก 3 คูหาหลักที่ประกอบด้วย “คูหานวัตกรรมทางเศรษฐกิจ” ที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางการเชื่อมโยงทางการแพทย์ การผลิต ความมั่นคงทางไซเบอร์และพลังงาน ผ่านเทคโนโลยี AI อาทิ เทคโนโลยีการวิเคราะห์ความปลอดภัยเครือข่ายอัจฉริยะ และระบบการบริหารจัดการด้านพลังงาน เป็นต้น เพื่อผลักดันการยกระดับทางอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันของไต้หวันในห่วงโซ่อุปทานโลก
ส่วน “คูหาเทคโนโลยีในอนาคต” มุ่งเน้นไปที่การจัดแสดงผลงานหุ่นยนต์อัจฉริยะ การประยุกต์ใช้ AI และความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ เทคโนโลยีควอนตัม และเทคโนโลยีการกีฬา เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนร่วมเป็นสักขีพยานในการปรับปรุงแก้ไขรูปแบบวิถีชีวิตของภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านเทคโนโลยี AI
สำหรับ “คูหาความอัจฉริยะที่ยั่งยืน” ก่อเกิดขึ้นจากการประสานความร่วมมือระหว่าง 6 หน่วยงานหลัก ที่มุ่งเน้นวงจรความยั่งยืน การเสริมสร้างศักยภาพความยืดหยุ่นและนวัตกรรมอัจฉริยะ นำเสนอให้เห็นศักยภาพการวิจัยและพัฒนาของไต้หวัน ในด้าน AI เทคโนโลยีสารสนเทศและความควบคุมด้านความมั่นคง
งาน TIE ที่มีกำหนดการจัดขึ้นติดต่อกัน 3 วัน นอกจากจะเป็นการจัดแสดงผลงานแล้ว ยังเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางความรู้ การประชุมที่จัดขึ้นในระหว่างนี้เจาะลึกในประเด็นต่างๆ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ หุ่นยนต์อัจฉริยะ การประสานงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ การแพทย์เชิงนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ทิศทางสีเขียว โดยได้ติดต่อเชิญผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรม และทีมนักวิจัยเข้าร่วมแลกเปลี่ยนบนเวทีเสวนาเดียวกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการไหลเวียนทางความรู้ความเชี่ยวชาญ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาระดับนานาชาติ นอกจากนี้ หน่วยงานเจ้าภาพยังได้วางแผนเส้นทางการชี้แจงบรรยายด้วยภาษาจีนและอังกฤษหลายเส้นทาง ภายใต้หัวข้อ AI , ความยั่งยืน , สารสนเทศและสุขภาพ เพื่อนำพาผู้เข้าร่วมสำรวจในเชิงลึก ตั้งแต่กรณีต้นแบบการศึกษาด้านสิทธิบัตร ไปจนสู่การประยุกต์ใช้ทางเทคโนโลยีแนวหน้า ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจต่อแนวทางการผสมผสานนวัตกรรมเข้าสู่วิถีชีวิตประจำวันและภาคอุตสาหกรรม