ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ไต้หวัน – เยอรมนี เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนกันเชิงลึกในนโยบายกิจการครอบครัวและสุขภาพ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ และมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อยและการดูแลผู้สูงอายุ
2025-10-21
New Southbound Policy。ไต้หวัน – เยอรมนี เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนกันเชิงลึกในนโยบายกิจการครอบครัวและสุขภาพ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ และมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อยและการดูแลผู้สูงอายุ (ภาพจากกระทรวงสวัสดิการและสาธารณสุข)
ไต้หวัน – เยอรมนี เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนกันเชิงลึกในนโยบายกิจการครอบครัวและสุขภาพ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ และมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อยและการดูแลผู้สูงอายุ (ภาพจากกระทรวงสวัสดิการและสาธารณสุข)

กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ วันที่ 19 ต.ค. 68

นายลวี่เจี้ยนเต๋อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนเยอรมนี ในช่วงระหว่างวันที่ 11 – 15 ตุลาคม 2568 เพื่อเดินทางเข้าเยือนกระทรวงกิจการการศึกษา ครอบครัว ผู้สูงอายุ สตรี และเยาวชน (Federal Ministry for Education, Family Affairs, Senior Citizens, Women and Youth, BMBFSFJ) และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ Mr. Michael Brand รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง BMBFSFJ , Dr. Stephan Pilsinger รองประธานคณะกรรมาธิการ “กิจการสุขภาพแห่งชาติ” , Dr. Georg Kippels รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัย Robert Koch Institute
 
นโยบายกิจการครอบครัวของเยอรมนี ได้รับการมองว่าเป็นหนึ่งในแกนหลักของสวัสดิการสังคม อัตราการเกิดในปัจจุบัน อยู่ที่ 1.3 ซึ่งสูงกว่าไต้หวันที่ 0.9 อัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของกลุ่มสตรีสูงถึง 77% ซึ่งสูงกว่าไต้หวันที่ 51.86% รมช.Brand ระบุว่า นับตั้งแต่ยุคสมัยการบริหารของ Ms. Ursula von der Leyen เยอรมนีได้เดินหน้าผลักดันโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูบุตร และเงินอุดหนุนสถาบันรับเลี้ยงเด็กเล็ก และได้มีการบัญญัติข้อกฎหมายเพื่อสร้างหลักประกันสวัสดิการการเลี้ยงดูบุตรที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนโยบาย “รัฐบาลร่วมด้วยช่วยเลี้ยงบุตร วัย 0-6 ปี” ของไต้หวัน ซึ่งในอนาคต เราจะยังคงเดินหน้าผลักดันเสริมสร้างอัตราความครอบคลุมของสถาบันบริการรับฝากเลี้ยง นอกจากนี้ รมช.ลวี่ฯ ยังแบ่งปันว่า “กลุยทธ์การลงทุนในสังคม” ที่ยื่นเสนอโดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระการเลี้ยงดู และส่งเสริมการกลับสู่สายอาชีพของกลุ่มสตรี
 
การร่วมแลกเปลี่ยนกับกระทรวงกิจการครอบครัวเยอรมนีในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับข้อคิดและเปิดมุมมองใหม่ๆ ในประเด็นนโยบายการรับมือกับภาวะเด็กเกิดน้อย การฝึกอบรมบุคลากรเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ นโยบายการส่งเสริมอาชีพของกลุ่มสตรีและผู้สูงวัย ก่อนหน้านี้ กระทรวงกิจการครอบครัวเคยถูกควบรวมเข้ากับกระทรวงสาธารณสุข และได้มีการแบ่งแยกออกมาเป็นองค์กรอิสระในภายหลัง เนื่องจากต้องการรักษาความครอบคลุมและการมุ่งสู่ทิศทางในอนาคตอย่างยั่งยืนของนโยบายกิจการครอบครัว ซึ่งขณะนี้ ไต้หวันอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อรับมือกับประเด็นความท้าทายที่เกิดจากวิกฤตเด็กเกิดน้อย และการทารุณกรรมเด็ก ประสบการณ์ของเยอรมนีควรค่าอย่างยิ่งแก่การนำมาปรับใช้ในไต้หวัน ในอนาคต เราจะเดินหน้าแลกเปลี่ยนกันในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสังคมผู้สูงวัยและการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของประชากร
 
รมช.ลวี่ฯ มีความเชี่ยวชาญในด้านหลักประกันทางสุขภาพ การดูแลและกลไกการดูแลผู้สูงอายุ ระหว่างไต้หวัน – เยอรมนี ประกอบกับปีนี้เป็นวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการผลักดันระบบประกันสุขภาพแห่งชาติของไต้หวัน (NHI) รมช.ลวี่ฯ จึงได้ใช้โอกาสนี้ร่วมแบ่งปันข้อคิดแก่ Dr. Pilsinger เกี่ยวกับทิศทางการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพของไต้หวัน รวมไปถึงการปฏิรูประบบประกันสุขภาพในปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความร่วมมือด้านระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
 
รัฐบาลเยอรมนีทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ไต้หวันอย่างเปิดเผยในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) มาติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปี ในระหว่างที่รมช.ลวี่ฯ เข้าพบปะกับ Dr. Kippels รมช.ลวี่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อฝ่ายเยอรมนี ที่ให้การสนับสนุนต่อไต้หวันอย่างหนักแน่น โดยทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านการแพทย์อัจฉริยะและการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยากันต่อไปในอนาคต
 
สถาบัน Robert Koch Institute (RKI) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการควบคุมและป้องกันโรคระบาด ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี โดยขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ ครอบคลุมทั้งการเฝ้าระวังโรคระบาดวิทยาและการป้องกัน การวิจัยด้านระบาดวิทยา และการวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณสุข การให้คำชี้แนะด้านวัคซีน และการรับมือกับวิกฤตสุขภาพ เพื่อขานรับต่อ “แผนปฏิบัติการร่วมในชื่อ One Health (2022-2026)” ที่ยื่นเสนอโดย 4 องค์การพันธมิตรภายใต้สหประชาชาติ (Quadripartite Organizations) ไต้หวันจึงได้บูรณาการทรัพยากรแบบข้ามหน่วยงาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการผลักดัน “แผนปฏิบัติการร่วมด้านการป้องกันโรคระบาดแห่งชาติ” เพื่อยกระดับการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและศักยภาพการรับมือกับโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) โรคที่เกิดจากอาหารเป็นสื่อ (foodborne disease) และการดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance) โดยในครั้งนี้ รมช.ลวี่ฯ ได้เดินทางเข้าพบปะกับ Ms. Johanna Hanefeld รองประธาน RKI เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความร่วมมือแบบข้ามหน่วยงานด้านการป้องกันโรคระบาดแบบทวิภาคี โดย Ms. Katharina Ladewig ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยี AI ของ RKI ได้ชี้แจงการประยุกต์ใช้ AI ของสถาบันฯ โดยอ้างอิงตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ RKI ซึ่งขอบเขตการวิเคราะห์ ครอบคลุมข้อมูลสถิติที่ยังมิได้มีการก่อตัวเป็นโครงร่าง ทั้งในด้านการแพทย์เชิงคลินิก อัตราการเสียชีวิตและข้อมูลสถิติในโลกสื่อโซเชียล เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อการจัดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนโรคภัยขั้นเบื้องต้น การเฝ้าจับตาการปะทุขึ้นของโรคระบาด และการประเมินความเสี่ยง
 
การเดินทางเยือนเยอรมนีในครั้งนี้ของรมช.ลวี่ฯ บังเกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมากมาย ตลอดจนเป็นการรุกขยายและเปิดโอกาสความร่วมมือแบบทวิภาคี ทั้งในด้านการแพทย์สาธารณสุข และสวัสดิการสังคม เป็นต้น