ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 1 พ.ย. 68
การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders' Meeting, AELM) ประจำปี พ.ศ. 2568 ที่จัดโดยเกาหลีใต้ ปิดฉากลงอย่างราบรื่นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยในปีนี้ นายหลินซิ่นอี้ ที่ปรึกษาทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวัน และประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท Taiwania Capital รับหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้นำไต้หวัน เข้าร่วมการประชุม AELM เพื่อแบ่งปันคุณูปการของไต้หวันที่มีต่อระบบเศรษฐกิจโลก ประสบความสำเร็จในการพิชิตภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น ผู้แทนหลินฯ ได้จัดงานแถลงข่าวนานาชาติขึ้น ณ เมืองคย็องจู เพื่อชี้แจงผลสัมฤทธิ์และข้อคิดที่ได้รับในระหว่างการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ พร้อมทั้งตอบข้อซักถามของกลุ่มผู้สื่อข่าว
ผู้แทนหลินฯ กล่าวว่า การประชุมเอเปคในปีนี้ ยังคงดำเนินการตามธรรมเนียมปฏิบัติแบบดั้งเดิม ด้วยการจัดการประชุมผู้นำทางการขึ้นเป็นจำนวน 2 รอบ และงานเลี้ยงอาหารกลางวันร่วมกับคณะตัวแทนการประชุมสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council, ABAC) ซึ่งหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ ถูกกำหนดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การเชื่อมโยง นวัตกรรมและความเจริญรุ่งเรือง” (Connect, Innovate, Prosper) และตารางการประชุมครั้งนี้ได้มุ่งเน้นการอภิปรายไปที่ความท้าทายที่เกิดจากเทคโนโลยี AI และการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชากร นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังได้กำหนดให้การพัฒนาอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมและแฟชัน บรรจุเข้าสู่ขอบเขตการอภิปรายในครั้งนี้ด้วย ซึ่งหัวข้อในการหารือครอบคลุมไปสู่แนวทางการจับมือกันส่งเสริมการค้าและการลงทุนของกลุ่มเอเปค ภายใต้สถานการณ์โลกที่มีปัจจัยความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะแนวทางการการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน นอกจากนี้ การอภิปรายในครั้งนี้ ยังมุ่งเน้นไปในทิศทางการรับมือกับวิวัฒนาการด้าน AI ที่มีความก้าวหน้า และผลกระทบที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายประชากร เป็นต้น
ผู้แทนหลินฯ กล่าวว่า ไฮไลท์สำคัญที่ข้าพเจ้าได้ร่วมแบ่งปันในระหว่างการประชุมครั้งนี้ คือเมื่อเผชิญหน้ากับปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เขตเศรษฐกิจไม่เพียงแต่จะต้องเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองทางภาคอุตสาหกรรมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องรักษาการเปิดกว้างทางการค้าระหว่างประเทศและความตื่นตัวของตลาดโลก ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสรรสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีเสถียรภาพ โปร่งใสและสามารถคาดการณ์ได้ ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถรักษาความยืดหยุ่น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าลงทุนในระยะยาวและผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไป
ผู้แทนหลินฯ ยังได้แบ่งปันประสบการณ์การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานด้านเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากความมุ่งมั่นร่วมกันของภาครัฐที่วางแผนการชี้แนะนโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรรม ทีมนักวิจัยและพัฒนา สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และการบ่มเพาะบุคลากร เป็นต้น ซึ่งบรรดาตัวแทนเขตเศรษฐกิจต่างเกิดความสนใจต่อผลสัมฤทธิ์ด้านเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันเป็นอย่างมาก
เมื่อกล่าวถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเชีย – แปซิฟิก ผู้แทนหลินฯ ได้แบ่งปันว่า ไต้หวันยึด “มนุษย์” เป็นศูนย์กลาง อาศัยเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการยื่นเสนอแผนโซลูชันการแก้ไขปัญหา อาทิเช่น แผนโครงการ “AI และเศรษฐกิจสูงวัย” ที่ยื่นเสนอโดยนายเฉินจวิ้นเซิ่ง ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ACER ที่ประยุกต์ใช้ AI ในการสร้างโมเดลการอ่านสีหน้า ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 86% เพื่อช่วยในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม
ผู้แทนหลินฯ ระบุว่า เมื่อเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประยุกต์ใช้ AI ในการคิดค้นวิจัยโมเดลสภาพอากาศความแม่นยำสูง โดยกำหนดให้ความละเอียดของรายงานข้อมูลสภาพอากาศ เพิ่มความชัดเจนขึ้นจาก 25 กิโลเมตรมาเป็น 2 กิโลเมตร เมื่อปีที่แล้ว ในช่วงที่พายุไต้ฝุ่นแคมี(Typhoon Gaemi) พัดถล่มเข้าสู่ไต้หวัน โมเดล AI สามารถร่างโครงสร้างไต้ฝุ่นออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการยกระดับความแม่นยำของรายงานสภาพอากาศ เพื่อส่งเสริมให้เทศบาลท้องถิ่นสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างฉับไว และลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงการคุ้มครองชีวิตและเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี
ผู้แทนหลินฯ เน้นย้ำว่า ภารกิจ 3 ประการที่ได้รับมอบหมายจากปธน.ไล่ฯ ประกอบด้วย (1) เน้นย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นของไต้หวัน ในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ โดยหวังที่จะจับมือกับประชาคมโลก ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าในระดับภูมิภาค (2) ไต้หวันยินดีแบ่งปันประสบการณ์อุตสาหกรรมต้นแบบ และส่งเสริมการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก และ (3) ไต้หวันมุ่งผลักดันการพัฒนา AI ที่ยึด “มนุษย์” เป็นศูนย์กลาง เพื่อเป็นตัวช่วยในการบรรลุเป้าหมายร่วมกันของเอเปค ซึ่งผู้แทนหลินฯ ล้วนสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าการประยุกต์ใช้ AI ในหลายด้าน ยังคงอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่พวกเรายินดีที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับบรรดาเขตเศรษฐกิจทั่วโลกด้วยความกระตือรือร้น
ต่อประเด็นสถานการณ์การเสวนาแบบทวิภาคีในระหว่างการประชุม ผู้แทนหลินฯ กล่าวว่า นัยยะของการเจรจามีมากมาย แต่เนื่องจากรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ ในจำนวนนี้ การเสวนากับ Mr. Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ รวมระยะเวลา 40 นาที ได้มีการพูดคุยกันในขอบเขตประเด็นที่กว้างขวาง ทั้งความร่วมมือทางเทคโนโลยี และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น
ต่อกรณีความทะเยอทะยานด้าน AI ของรัฐบาลเกาหลีใต้ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตต่อสถานภาพของไต้หวันในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงในโลกนานาชาติหรือไม่? ผู้แทนหลินฯ กล่าวว่า ทุกประเทศต่างก็มีความมุ่งมั่นพยายามร่วมกัน ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของเกาหลีใต้และไต้หวัน ได้ประสานความร่วมมือกันในหลากหลายมิติ และต่างก็สวมบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม ICT อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบที่สามารถเอื้อประโยชน์แก่กัน ไต้หวันมีระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งในด้านการผลิต การบรรจุภัณฑ์ การทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ รวมไปถึงฮาร์ดแวร์ด้าน AI หรือระบบคลาวน์ ส่วนเกาหลีใต้มีข้อได้เปรียบด้านหน่วยความจำ การบูรณาการระบบและผลิตภัณฑ์ที่ส่งตรงถึงมือผู้ใช้งาน การผนวกรวมข้อได้เปรียบของกันและกัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค ถือเป็นรากฐานทางความร่วมมือแบบทวิภาคี โดยในอนาคต พวกเราหวังที่จะแสวงหาโอกาสทางความร่วมมือที่เพิ่มพูนมากขึ้น บนพื้นฐานข้างต้น เพื่อร่วมรับมือกับวิกฤตความท้าทายของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก