ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 10 พ.ย. 68
“โครงการ Taiwan Bridges” ที่เกิดจากการร่วมผลักดันระหว่างมูลนิธิ International Peace Foundation (IPF) สภาวิจัยแห่งชาติไต้หวัน (Academic Sinica) มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University, NTU) พร้อมจับมือกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ 10 แห่ง จัดพิธีเปิดฉากขึ้นแล้วเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เดินทางเยือนเข้าร่วมพร้อมกล่าวปราศรัยในพิธีเปิดงาน โดยปธน.ไล่ฯ ได้ให้การยอมรับต่อโครงการข้างต้นที่เชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างไต้หวันและประชาคมโลก พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันนโยบายต่างๆ อย่างกระตือรือร้น เพื่อให้การสนับสนุนเชื่อมโยงการอุดมศึกษาระหว่างประเทศและการบ่มเพาะบุคลากร เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันเป็นฐานการบ่มเพาะเจ้าของรางวัลโนเบลในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างคุณูปการในด้านสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง สวัสดิการและความยั่งยืนระดับสากลต่อไป
โลกในปัจจุบันเกิดการพลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น เชื่อว่ามีเพียงการเปิดการเสวนาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ การศึกษาและการทูต จึงจะสามารถค้นพบแผนโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด ภายใต้สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง
ผู้บรรรยายคนแรกในโครงการ Taiwan Bridges คือ Dr. Andre Geim ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งกราฟีน (Graphene)” Dr. Geim ค้นพบว่า กราฟีนมีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าและความร้อนได้ดี และประสบความสำเร็จในการคว้ารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ มาครองร่วมกับ Dr. Konstantin Novoselov ในปี พ.ศ. 2553
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ภายในระยะเวลา 7 เดือนหลังจากนี้ จะมีเจ้าของโนเบลจำนวน 31 คน เดินทางมาแสดงปาฐกถาและจัดการเสวนากลุ่มย่อยในไต้หวัน ซึ่งรวมถึง Dr. Geim เชื่อว่าจะเป็นการปลุกระดมสมองที่ครอบคลุมสำหรับนักศึกษา คณาจารย์ นักวิจัยและภาคประชาสังคม นอกจากนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นสถาบันอุดมศึกษาในไต้หวัน นอกจากจะสวมบทบาทเป็นสถานการศึกษาแล้ว ยังจะสวมบทบาทเป็นหุ้นส่วนระดับโลกแห่งนวัตกรรมการศึกษา ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้เดินหน้าผลักดันนโยบายต่างๆ อย่างกระตือรือร้น เพื่อให้การสนับสนุนเชื่อมโยงการอุดมศึกษาระหว่างประเทศและการบ่มเพาะบุคลากร
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า หลายปีมานี้ รัฐบาลมุ่งผลักดัน “โครงการส่งเสริมการอุดมศึกษา” (Higher Education SPROUT Project) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่สมัยที่ 2 แล้ว (ซึ่งกำหนดช่วงเวลาไว้ระหว่างปี 2567 – 2570) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพสถาบันอุดมศึกษา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมพัฒนาการศึกษาขั้นสูงที่หลากหลาย และช่วยผลักดันให้สถาบันอุดมศึกษาไต้หวันก้าวขึ้นสู่แนวหน้าระดับโลก รวมไปถึงการพัฒนาสถาบันวิจัย โดยในปีนี้ได้มีการอนุมัติเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาสถาบันทั้งระบบให้แก่ 4 สถาบันอุดมศึกษา ซึ่งรวมถึง NTU ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้สถาบันเดินหน้าเสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับนานาชาติ สร้างเอกลักษณ์แบรนด์ ตลอดจนยกระดับอิทธิพลและการมองเห็นบนเวทีนานาชาติ ตลอดระยะเวลา 10 ปีมานี้ อัตราการอ้างอิงวิทยานิพนธ์ของไต้หวันก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการวิจัยของไต้หวัน ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องจากประชาคมโลก
ปธน.ไล่ฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในแง่มุมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการไต้หวันได้ให้การสนับสนุนสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ รวม 12 แห่ง ซึ่งรวมถึง NTU ในการรวบรวมจัดตั้ง “สมาพันธ์ความร่วมมือนานาชาติในส่วนสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติ” ซึ่งนับตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นในปี 2566 เป็นต้นมา ตราบจนปัจจุบัน สถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของไต้หวันและสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น ก็ได้จัดตั้งความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วน ที่ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการไปมาหาสู่กันที่ใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น ระหว่างนักวิชาการเยาวชน นักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นฐานสำคัญของการแลกเปลี่ยนบุคลากรระดับโลก
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศธ.ไต้หวันได้จัด “โครงการศูนย์วิจัยแนวหน้าในภาคส่วนสำคัญระดับชาติ” ซึ่งจวบจนปัจจุบันได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัย 6 แห่งขึ้นใน 5 สถาบันอุดมศึกษาในไต้หวันแล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี AI , การแพทย์ชีวภาพ , เทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร , เทคโนโลยีควอนตัม และเทคโนโลยีทางทะเล เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลจะอัดฉีดเงินสนับสนุนเข้าสู่ศูนย์วิจัยเหล่านี้เป็นประจำทุกปี โดยหวังว่า ศูนย์วิจัยเหล่านี้จะสามารถพัฒนาขับเคลื่อนให้เกิดความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นฐานสำคัญด้านการพัฒนาวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากลต่อไป