ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 17 พ.ย. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วมพิธีเปิดตัวสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ โดยปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า เอกสารจดหมายเหตุเป็นความทรงจำร่วมกันของภาคประชาชนทุกคน และเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย รัฐบาลส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นควรที่จะรวบรวมจัดส่งเอกสารจดหมายเหตุ ตามบทบัญญัติทางกฎหมายโดยสมบูรณ์ เพื่อสร้างความโปร่งใสที่แท้จริง พร้อมกล่าวว่า การจัดตั้งสำนักหอจดหมายเหตุ สื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านและการเป็นรัฐบาลที่เปิดกว้าง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นภาคประชาชน ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสามัคคี บนพื้นฐานหลักข้อเท็จจริงในการธำรงปกป้องประชาธิปไตยของไต้หวันอย่างต่อเนื่อง
ปธน.ไล่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีเปิดตัวสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ โดยปธน.ไล่ฯ ขอแสดงความขอบคุณต่อความมุ่งมั่นเสมอมายาวนานของอดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน นายกรัฐมนตรีทุกสมัย เจ้าหน้าที่คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่สำนักหอจดหมายเหตุ รวมถึงนายโหวโหย่วอี๋ ผู้ว่าการนครนิวไทเป สำหรับความช่วยเหลือที่ร่วมผลักดันให้โครงการก่อสร้างภาพรวม บังเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างราบรื่น เฉกเช่นในปัจจุบัน พร้อมกล่าวว่า ทีมเจ้าหน้าที่จะพัฒนากลไกการบริหารเอกสารจดหมายเหตุ ในรูปแบบอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนที่ก้าวเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีหน้าที่รับผิดชอบรวบรวมหลักฐานสำคัญของหน่วยงานราชการทุกระดับชั้น เอกสารทางประวัติศาสตร์ของภาคเอกชน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันที่เก็บสะสมในหอจดหมายเหตุในต่างประเทศ ซึ่งเอกสารเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการบันทึกแนวทางการดำเนินนโยบายของภาครัฐ แต่ยังนำเสนอให้เห็นถึงวิวัฒนาการของภาคประชาสังคม จึงถือเป็นความทรงจำร่วมกันของภาคประชาชน ปธน.ไล่ฯ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นหน่วยงานกลางและเทศบาลท้องถิ่น เร่งรวบรวมและยื่นส่งให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ตามบทบัญญัติทางกฎหมาย ไม่ควรปิดบังหรือปฏิเสธการให้ข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติเป็นฐานรวบรวมและบริหารจัดการเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างเหมาะสม
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ควรประยุกต์ใช้ข้อมูลอย่างเปิดเผย ภายใต้หลักการ “เปิดกว้างสูงสุดและจำกัดขอบเขตให้น้อยที่สุด” เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ ด้วยแผนปฏิบัติการเช่นนี้ จึงจะสามารถบรรลุวิสัยทัศน์การเป็นรัฐบาลเปิดกว้างและการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้ส่งเสริมให้สำนักงานหอจดหมายเหตุ เร่งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา องค์กรและสถานที่ชุมชน เพื่อฝึกฝนทักษะการโต้แย้งที่อ้างอิงตามหลักฐานข้อเท็จจริง ผ่านการเปลี่ยนผ่านและประชาสัมพันธ์จดหมายเหตุ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเกิดความเข้าใจต่อความมุ่งมั่นพยายามของไต้หวัน ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม รวมถึงวัฒนธรรมและการศึกษา อันจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยและด้านอื่นๆ ให้เกิดความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไต้หวัน เนื่องจากจำนวนวัน นับตั้งแต่ที่ได้มีการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกของไต้หวัน ได้ดำเนินมาไกลเกินกว่าวันที่ไต้หวันตกอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกที่แสนทรมานใจ ปธน.ไล่ฯ ขอขอบคุณสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ที่จัดแสดงเอกสารต้นฉบับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกของไต้หวัน รวมถึงการยกเลิก “บทลงโทษผู้ก่อกบฏ” (Betrayers Punishment Act) “กฎหมายการจารกรรมในยุคกบฏ (The Espionage Laws of the Period of the Communist Rebellion) และการแก้ไขประมวลกฎกฎหมายอาญา มาตราที่ 100
ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า การเปิดตัวของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาล ที่ต้องการจะธำรงรักษาไว้ซึ่งข้อมูลสำคัญระดับชาติ และรวบรวมไว้ซึ่งความทรงจำของภาคประชาชนแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงทัศนคติอันแน่วแน่ของรัฐบาลที่มีต่อการเปิดเผยข้อมูลทางราชการ และเป็นเส้นทางสำคัญในการก้าวสู่ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งเสริมให้ภาคประชาชน เกิดความเข้าใจต่อความมุ่งมั่นของบรรพบุรุษที่ต้องการจะแสวงหาประชาธิปไตย และตระหนักถึงคุณค่าของหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน อันจะนำไปสู่การผนึกกำลังสามัคคีเพื่อปกป้องไว้ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ ให้คงอยู่สืบไปอย่างยั่งยืน
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย การเมืองรูปแบบประชาธิปไตยก็คือการแบ่งกลุ่มพรรคการเมือง ซึ่งมีจุดยืนและแนวคิดที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราคือคนในประเทศเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับยุคสมัยที่เปี่ยมด้วยวิกฤตความท้าทาย พวกเราจำเป็นต้องประสานสามัคคีเป็นหนึ่ง และจงจำไว้ว่า สิ่งที่ผู้รุกรานกลัวที่สุดคือพลังแห่งความสามัคคีปรองดอง