ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 25 พ.ย. 68
บทความพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “ประธานาธิบดีไต้หวัน : ผมจะปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพื่อปกป้องประชาธิปไตยของพวกเรา” (Taiwan's president: I will boost defense spending to protect our democracy) ที่ยื่นเสนอโดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้รับการตีพิมพ์ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ “The Washington Post” ของสหรัฐฯ แล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงให้บรรดาผู้อ่านทั่วโลก มองเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวัน ในการพัฒนาขีดความสามารถในการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง เพื่อรับมือกับแผนการยั่วยุท้าทายในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน , ทะเลจีนตะวันออก , ทะเลจีนใต้และภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกที่เกิดจากการแผ่ขยายอิทธิพลด้วยกำลังทหารของจีน อันแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของรัฐบาลปักกิ่ง ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไต้หวันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการปกป้องประเทศชาติ ด้วยการปรับเพิ่มงบประมาณกลาโหมให้เพิ่มขึ้น 3.3% ของ GDP ในปีหน้านี้ และจะพิชิตเป้าหมาย 5% ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ ระยะที่ผ่านมา ยังได้มีการยื่นเสนอแผนงบประมาณพิเศษ มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะนำไปใช้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์รูปแบบใหม่จากสหรัฐฯ แล้ว ยังจะมุ่งเน้นการพัฒนายุทธวิธีสงครามที่ไร้สมมาตร เพื่อเพิ่มต้นทุนและปัจจัยที่ไม่แน่นอน ในการสร้างความลำบากให้แก่รัฐบาลปักกิ่งที่ มีความประสงค์จะเข้ารุกรานไต้หวันด้วยกำลังทหาร
ในทิศทางอนาคต พวกเราจะอัดฉีดเงินลงทุนเข้าสู่เทคโนโลยีขั้นสูงแนวหน้า ควบคู่ไปกับการขยายรากฐานอุตสาหกรรมกลาโหมของไต้หวัน โดยจะประยุกต์ใช้ข้อได้เปรียบในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไต้หวัน จับมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เดินหน้าพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมกลาโหม เร่งพัฒนาการวางระบบทันสมัย และรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างทันท่วงที อันจะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสตำแหน่งงาน ทั้งในและต่างประเทศต่อไป
ระหว่างนี้ พวกเราจะยังคงมุ่งมั่นสร้าง “เกราะป้องกันไต้หวัน” ด้วยการจัดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศที่แน่นหนา ด้วยระบบการป้องกันหลายชั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสกัดกั้นภัยคุกคาม ที่เกิดจากการปล่อยขีปนาวุธ , จรวด , โดรนและเครื่องบินรบจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน
ขณะเดียวกัน พวกเรามีความตั้งใจที่จะขยายขอบเขตภารกิจการประสานงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและต่างประเทศ อันจะเห็นได้จากการจัดตั้งคณะกรรมการความยืดหยุ่นในการป้องกันประเทศของภาคประชาสังคม เมื่อปีที่แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาล กองทัพทหารและภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพของภาคประชาสังคม ในการรับมือต่อภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์
นอกจากนี้ พวกเราจะเดินหน้ากระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อยกระดับเครือข่ายความมั่นคงร่วมกันในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ตลอดจนจะขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ ต่อไป ทั้งกิจการทางทะเล , ความมั่นคงทางไซเบอร์และความยืดหยุ่น เป็นต้น
ภายใต้หลักการธำรงรักษาประชาธิปไตยและเสรีภาพ พวกเราจะเดินหน้าแสวงหาแนวทางการเปิดการเจรจาในสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน เพื่อปกป้องความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของไต้หวัน ผ่านแผนปฏิบัติการอย่างมีระบบและมีเสถียรภาพ
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 26 พ.ย. ปธน.ไล่ฯ ได้จัดการประชุมเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติระดับสูง ภายใต้ “แผนปฏิบัติการความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อการปกป้องประชาธิปไตยไต้หวัน” อีกทั้งปธน.ไล่ฯ ยังได้ทำหน้าที่เป็นประธานในงานแถลงข่าวหลังการประชุม เพื่อประกาศแผนปฏิบัติการ รวม 2 รายการ ในการตอบสนองต่อภัยคุกคามจากจีน ที่ส่งผลกระทบต่อไต้หวันและภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ : “การธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยแห่งชาติ ด้วยการจัดตั้งกลไกการป้องกันรูปแบบประชาธิปไตยอย่างรัดกุม” และ “การพัฒนาขีดความสามารถทางกลาโหม ด้วยการจัดตั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม”
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า ระยะนี้ รัฐบาลปักกิ่งจงใจจัดตั้งแผนปฏิบัติการที่ต้องการจะเปลี่ยนให้ “ไต้หวันประชาธิปไตย” กลายเป็น “จีนไต้หวัน” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อความมั่นคงของประเทศชาติ รวมถึงเสรีภาพและประชาธิปไตยของไต้หวัน หลังจากที่ได้มีการอภิปรายหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐ พวกเราจึงได้ร่างพิจารณาแผนปฏิบัติการ 2 รายการข้างต้น เพื่อการรับมืออย่างเป็นรูปธรรม
แนวทางที่เป็นรูปธรรม ตามแผน “การธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยแห่งชาติ ด้วยการจัดตั้งกลไกการป้องกันรูปแบบประชาธิปไตยอย่างรัดกุม” ประกอบด้วย :
1. เจ้าหน้าที่สภาบริหาร พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดตั้งคณะทำงานในการรับมือต่อประเด็น “ไต้หวันประชาธิปไตย” vs. “จีนไต้หวัน” เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักเห็นถึงความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ของไต้หวัน ในการปกป้องประชาธิปไตย และรักษาไว้ซึ่งสถานภาพเดิมในปัจจุบัน ผ่านการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาคประชาสังคมและบรรดามิตรประเทศ ด้วยการจัดการเสวนาเชิงยุทธศาสตร์ การบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และการสกัดกั้นนิติสงคราม ทั้งนี้ เพื่อยับยั้งพฤติกรรมความทะเยอทะยานของรัฐบาลปักกิ่งที่ต้องการจะบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และกลืนกินเสรีภาพของภาคประชาชนชาวไต้หวัน
2. ข้อเท็จจริงเป็นรากฐานความเชื่อมั่นในภาคประชาสังคม และเป็นการเสริมสร้างการยอมรับในประเทศชาติ โดยสภาบริหารจะเปิดเผยข้อเท็จจริง และส่งเสริมการไหลเวียนของข้อมูลที่ถูกต้อง ในระหว่างการบังคับใช้นโยบายสำคัญๆ และในช่วงการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการแทรกแซงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากรัฐบาลจีน
3. กลยุทธ์ 17 ประการที่ใช้รับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ และการรับมือกับการแทรกแซงจากจีน ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บังเกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะเบื้องต้นแล้ว โดยรัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการผลักดันการบัญญัติ “กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ 10 มาตรา” และมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ
4. ต่อกรณีที่จีนกระทำการกดปราบข้ามชาติ (Transnational Repression) ต่อภาคประชาชนชาวไต้หวัน สภาบริหารพร้อมด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะประยุกต์ใช้มาตรการและแนวทางที่เป็นรูปธรรม ในการยับยั้งอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ : การจัดตั้งกลไกการคุ้มครองเหยื่อผู้ได้รับความเสียหาย และการรายงานตรงต่อหน่วยงาน , การจัดการเสวนาเชิงยุทธศาสตร์กับมิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศ , การเสริมสร้างความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน เพื่อปกป้องกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง และการจัดตั้งระบบกฎหมาย เพื่อกำหนดบทลงโทษต่อประเทศ / กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังในขบวนการปราบปรามข้ามชาติของจีน
5. จากผลการสำรวจของภาคประชาชน เผยว่า ภาคประชาชนต่างลงมติไม่เห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ต่อ “แผนการไต้หวัน 1 ประเทศ 2 ระบบ” ที่กำหนดโดยรัฐบาลจีน เพื่อหวังที่จะครอบครองไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงควรที่จะจัดตั้งกลไกกรอบจำกัดที่ภาคประชาสังคมไม่สามารถก้าวข้ามได้ใน “แผนการไต้หวัน 1 ประเทศ 2 ระบบ” ผ่านการประชาสัมพันธ์นโยบายโดยรัฐบาล , การผ่านญัตติโดยสภานิติบัญญัติ รวมถึงการสอดส่องพฤติกรรมของพรรคการเมืองและกลุ่มเอกชน ตลอดจนร่วมแลกเปลี่ยนและจัดการเสวนาทางการเมืองกับพรรคการเมืองในประเทศ หน่วยงานนิติบุคคลและภาคเอกชน รวมถึงจีน เพื่อจัดตั้งกฎระเบียบที่เป็นระบบ ที่ยึดมั่นตามหลักการการบริหารรูปแบบประชาธิปไตยและความโปร่งใส ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการฉวยโอกาสจากจีน ที่อาศัยจังหวะโอกาสความโกลาหลที่เกิดจากความขัดแย้งในสังคมไต้หวัน
ส่วน “การพัฒนาขีดความสามารถทางกลาโหม ด้วยการจัดตั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม” ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า พวกเราจะเร่งบรรลุเป้าหมาย 3 ระยะ ด้วยกลยุทธ์ 3 มิติ ได้แก่ “การสกัดกั้น” , “ความยืดหยุ่น” และ “รูปแบบอัจฉริยะ” โดยเป้าหมายระยะสั้น - กลาง - ยาว มีดั้งนี้ : (1) ภายในปี 2570 แสนยานุภาพทางการทหารของกองทัพไต้หวันต้องได้รับการพัฒนาไปสู่อีกขั้นที่สูงขึ้น เพื่อการสกัดกั้นภัยคุกคามจากจีนอย่างมีประสิทธิภาพ (2) ภายในปี 2576 แสนยานุภาพการป้องกันประเทศที่ครอบคลุม และมีความแข็งแกร่งยืดหยุ่นขั้นสูง จะต้องได้รับการยกระดับไปสู่อีกขั้น และ (3) การจัดตั้งศักยภาพกลาโหมที่สามารถปกป้อง “ไต้หวันที่เป็นประชาธิปไตย” ได้อย่างยั่งยืน
แนวทางที่เป็นรูปธรรม ตามแผน “การพัฒนาขีดความสามารถของกองกำลังทหาร ด้วยการจัดตั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้านกลาโหมอย่างครอบคลุม” ประกอบด้วย :
1. เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนากลาโหมในระดับสากล รัฐบาลไต้หวันจึงได้ปรับเพิ่มงบประมาณทางกลาโหมของไต้หวันให้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนร้อยละ 3.3% ของ GDP ในปีหน้านี้ และวางแผนจะพิชิตเป้าหมาย 5% ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามมาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)
2. เพื่อเสริมสร้างแสนยานุภาพในการรับมือกับภัยสงครามรูปแบบใหม่ในอนาคต กระทรวงกลาโหมจึงได้วางแผนจัดตั้ง “กฎระเบียบพิเศษว่าด้วยการเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านการป้องกัน และการจัดซื้อยุทโธปกรณ์เพื่อพัฒนายุทธวิธีสงครามที่ไร้สมมาตร” และงบประมาณ ซึ่งคาดว่าภายใน 8 ปีหลังจากนี้ (พ.ศ. 2569 - 2576) รัฐบาลจะอัดฉีดงบประมาณมูลค่า 1,250,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ในการจัดตั้งกลไก ดังต่อไปนี้ : (1) การจัดตั้ง “เกราะป้องกันไต้หวัน” (2) การจัดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศที่แน่นหนาด้วยระบบการป้องกันหลายชั้น การตรวจจับระดับสูงและการสกัดกั้นที่มีประสิทธิภาพ (3) การอัดฉีดเทคโนโลยีขั้นสูงและเทคโนโลยี AI (4) การกำหนดนโยบายประสิทธิภาพสูง (5) การจัดตั้งกลไกการรับมือกับภัยสงครามที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น ด้วยการโจมตีที่แม่นยำ และ (6) การยกระดับศักยภาพการป้องกันประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางอุตสาหกรรมกลาโหม ภายในประเทศ
3. สภาบริหารจะพิจารณากฎระเบียบและยื่นส่งต่อสภานิติบัญญัติ ตลอดจนกำชับให้กระทรวงการคลัง สำนักสถิติและบัญชีกลางไต้หวัน วางแผนการบริหารจัดการระบบบัญชี หลีกเลี่ยงมิให้เบียดเบียนไปสู่งบประมาณอื่นๆ
4. กระทรวงกลาโหมจะพิจารณาการอัดฉีดเทคโนโลยี เข้าช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของกลไกที่เกี่ยวข้อง ที่รวมถึงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อย่างครอบคลุม ตลอดจนเพื่อย่นระยะเวลาการรับมอบสินค้า และการเตรียมการเพื่อนำมาปรับใช้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการฉ้อโกงและหลีกเลี่ยงความล่าช้า
5. ในระหว่างการคำนึงถึงการนำเข้าอุปกรณ์ทันสมัย การพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหมก็จะเดินหน้าปฏิรูปการพัฒนาโครงสร้างกองกำลังทหาร , การฝึกอบรมรูปแบบใหม่ , กลยุทธ์สงครามและกำลังพลสำรองเสริม
6. รัฐบาลจะเร่งกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมกลาโหม และร่างพิจารณาแผนแม่บทเพื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในไต้หวันอย่างครอบคลุม ภายใต้พื้นฐานข้างต้น
7. เพื่อยกระดับความร่วมมือกับบรรดามิตรประเทศ ในการสรรสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่เป็นอิสระจากการพึ่งพาจีน” (Non – red Supply Chain) พวกเราจะมุ่งพัฒนากลไกการคุ้มครองเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนจะดำเนินการตามหลักการคุ้มครอง และประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
8. สภาความมั่นคงจะร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการเสวนาในภาคประชาสังคม เพื่อบรรลุฉันทามติร่วมกัน ตามแนวคิด “การลงทุนในกลาโหม ลงทุนในสันติภาพและลงทุนสู่อนาคตทางเศรษฐกิจของไต้หวัน
Mr. Raymond Greene ผู้อำนวยการใหญ่สถาบันอเมริกาในไต้หวัน (AIT) ให้การยอมรับต่อความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวัน ในการปกป้องประเทศชาติ ด้วยการจัดวางงบประมาณพิเศษ จำนวน 1,250,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ภายในระยะเวลา 8 ปีหลังจากนี้ ซึ่ง ผอญ. Greene เชื่อว่า จะเป็นพัฒนาการสำคัญที่จะช่วยสกัดกั้นและธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน และเป็นการลงทุนที่จำเป็นต่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในระดับโลก
ในโอกาสนี้ นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ขอแสดงความขอบคุณต่อหน่วยงานบริหาร สภานิติบัญญัติและมิตรสหายทุกแวดวงของสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการปกป้องประเทศ ด้วยการพึ่งพาตนเองของไต้หวัน พร้อมเน้นย้ำว่า ไต้หวัน – สหรัฐฯ จะกระชับความร่วมมือกันอย่างแนบแน่น บนพื้นฐาน “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และ “หลักประกัน 6 ประการ” เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในช่องแคบไต้หวันและภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป