กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 6 ธ.ค. 68
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ตามเวลาในเขตตะวันออกของสหรัฐฯ ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ได้ประกาศเปิดตัวเอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” (National Security Strategy, NSS) ฉบับใหม่ ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งสาระสำคัญของเนื้อหานอกจากจะระบุถึงบทบาทผู้นำของไต้หวัน ด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกแล้ว ยังได้เน้นย้ำตำแหน่งที่ตั้งของไต้หวันในด้านภูมิรัฐศาสตร์และการคมนาคมขนส่งทางทะเลระดับสากล ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานยังได้ระบุอีกว่า สหรัฐฯ กำหนดให้การยับยั้งความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวัน ด้วยข้อได้เปรียบทางกำลังทหาร เป็นภารกิจอันดับต้นๆ ควบคู่ไปกับการสืบสานนโยบายที่มีต่อไต้หวันในระยะยาว ซึ่งก็คือมาตรการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพในปัจจุบันของช่องแคบไต้หวันที่เกิดจากความเห็นชอบเพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ รายงานยังได้ระบุว่า สหรัฐฯ จะจัดตั้งกองทัพทหารที่มีศักยภาพในการสกัดกั้นการรุกรานในพื้นที่ระยะห่วงโซ่ที่ 1 พร้อมทั้งเรียกร้องให้มิตรประเทศและหุ้นส่วนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ระยะห่วงโซ่ที่ 1 เร่งอัดฉีดทรัพยากรที่เพิ่มพูนเพื่อการป้องกันร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของสหรัฐฯ และบรรดามิตรประเทศ ในการผนึกกำลังกันปกป้องภัยคุกคามที่อาจเกิดจากการเข้ายึดครองไต้หวัน ตลอดจนเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่สมดุลทางกำลังทหาร ที่จะส่งผลเสียต่อการปกป้องไต้หวัน
นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน รู้สึกยินดีและขอขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ระบุชัดแจ้งใน NSS ถึงความสำคัญของไต้หวันในห่วงโซ่อุปทานสำคัญและภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ฝ่ายสหรัฐฯ จะจับมือกับหุ้นส่วนนานาประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ไต้หวัน พร้อมกันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้แสดงความห่วงกังวลต่อพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของช่องแคบไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังได้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนที่มีต่อไต้หวัน อาทิ การลงนามบังคับใช้ “ร่างกฎหมายว่าด้วยการบรรลุคำมั่นที่มีต่อไต้หวัน” (Taiwan Assurance Implementation Act) โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และการอนุมัติจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตแรกต่อไต้หวัน หลังการเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 ของปธน.ทรัมป์ เป็นต้น โดยไต้หวันจะยืนหยัดผลักดันความร่วมมือทางความมั่นคงกับฝ่ายสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างหลักประกันทางความมั่นคงและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันและภูมิภาค ขณะเดียวกัน รัฐบาลไต้หวันก็จะมุ่งพัฒนาขีดความสามารถทางกลาโหมด้วยการพึ่งพาตนเองอย่างกระตือรือร้น อาทิ การประกาศอัดฉีดงบประมาณจำนวน 1,250,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ภายในระยะเวลา 8 ปีหลังจากนี้ เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเจตนารมณ์ของไต้หวัน ในการปกป้องประเทศชาติและรักษาไว้ซึ่งสถานภาพเดิมในปัจจุบันอย่างหนักแน่น