สภาบริหาร วันที่ 10 ธ.ค. 68
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา สภาบริหารไต้หวันได้ประกาศรายงานแห่งชาติ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women, CEDAW) ครั้งที่ 5 โดยได้นำเสนอให้เห็นความก้าวหน้าบนเส้นทางความเสมอภาคทางเพศในไต้หวัน ตลอดช่วงปี 2564 – 2567
สำนักงานความเสมอภาคทางเพศ แถลงว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายหลินหมิงซิน รัฐมนตรีสภาบริหารไต้หวัน ได้ทำหน้าที่เป็นประธานใน “การประชุมปรึกษาก่อนการเปิดการประชุมคณะกรรมการด้านความเสมอภาคทางเพศ ภายใต้สภาบริหาร ครั้งที่ 34” โดยในระหว่างการประชุม ที่ประชุมได้ลงมติผ่านรายงานแห่งชาติครั้งที่ 5 ภายใต้อนุสัญญา CEDAW พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า CEDAW ถือเป็นอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ไต้หวันดำเนินการได้อย่างครอบคลุมสมบูรณ์ที่สุด และได้มีการยื่นเสนอรายงานแห่งชาติเป็นจำนวนมากที่สุด เผยให้เห็นผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการส่งเสริมสิทธิสตรีและการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ เพื่อบรรลุมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้ประชาคมโลกมองเห็นความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าของไต้หวัน ในด้านสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางเพศ
สนง.ความเสมอภาคทางเพศ ระบุว่า เพื่อยกระดับหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มสตรีในไต้หวัน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับระบบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ไต้หวันจึงได้ประกาศแนวทางการดำเนินการ CEDAW ขึ้นนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา และมีผลบังคับใช้ในปี 2555 และจะมีการยื่นเสนอรายงานแห่งชาติ ภายใต้อนุสัญญา CEDAW ในทุกๆ 4 ปี โดยรายงานฉบับล่าสุดนี้ได้นำเสนอให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์สำคัญว่าด้วยการขจัดการดูหมิ่นกลุ่มสตรี ยกระดับสิทธิมนุษยชนสตรี และส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศในไต้หวัน ตลอดช่วงปี 2564 – 2567 โดยในจำนวนนี้ ครอบคลุมทั้งในส่วนของการประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และรายงานสถาบันทางสังคมและดัชนีทางเพศ (Social Institutions and Gender Index, SIGI) ในปี 2566 ซึ่งไต้หวันก้าวขึ้นครองอันดับ 6 ของโลก และครองอันดับ 1 ในเอเชีย ความเสมอภาคทางเพศในไต้หวันสร้างผลสัมฤทธิ์ที่โดดเด่นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว จึงได้มีการขยายการสร้างหลักประกันการสมรสแบบข้ามพรมแดนและสิทธิ์การรับเลี้ยง เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่สิทธิการสมรสเพศเดียวกัน โดยในปี 2567 สัดส่วนสมาชิกสภานิติบัญญัติที่เป็นผู้หญิง สร้างยอดทะลุยอดสูงถึง 41.6% ส่งผลให้ก้าวขึ้นครองอันดับ 1 ในเอเชีย
นอกจากนี้ ยังมีผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดภายใต้อนุสัญญา CEDAW อีกหลายรายการ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการเข้าร่วมในการกำหนดนโยบายของกลุ่มสตรี , การยื่นเสนอ “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสังคมเด็กเกิดน้อย (2564 - 2567)” ซีซัน 2 , การยื่นเสนอ “โครงการร่วมเลี้ยงดูบุตรธิดาโดยภาครัฐ วัย 0 – 6 ปี” , การจัดตั้งสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรต่อเจ้าหน้าที่พนักงานที่มีครอบครัว , การขจัดอคติทางเพศและสรรสร้างสภาพแวดล้อมการศึกษาด้านความเสมอภาคทางเพศ เป็นต้น
สนง.ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ แถลงว่า แม้ว่าไต้หวันจะมิได้เป็นสมาชิกภายใต้สหประชาชาติ แต่การวางแผนการประชุมตรวจสอบรายงาน ยังคงอ้างอิงกระบวนการพิจารณารายงานคณะกรรมการ CEDAW ภายใต้ระบบสหประชาชาติ โดยในครั้งนี้ได้ติดต่อเชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ จำนวน 5 คนเข้าร่วมให้คำชี้แนะต่อไต้หวัน ซึ่งจะมีกำหนดการเดินทางเยือนไต้หวันในเดือนกรกฎาคม 2569 เพื่อพิจารณารายงานแห่งชาติของไต้หวัน ครั้งที่ 5 ภายใต้อนุสัญญา CEDAW ซึ่งพอถึงเวลาจะผนึกกำลังกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญในประเทศและองค์การภาคเอกชน ในการเข้าร่วมหารือพิจารณา เพื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงที่สำคัญในการเสวนาระหว่างประชาคมโลก พร้อมทั้งนำเสนอให้เห็นผลสัมฤทธิ์โดดเด่น ที่เกิดจากการผลักดันความเสมอภาคทางเพศ ตลอดจนยกระดับการมองเห็นของไต้หวันในแผนแม่บทด้านสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ