ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไล่ชิงเต๋อ แสดงสุนทรพจน์ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ ในงานเลี้ยงน้ำชาของที่ประชุมสภา
2025-12-17
New Southbound Policy。ปธน.ไล่ชิงเต๋อ แสดงสุนทรพจน์ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ ในงานเลี้ยงน้ำชาของที่ประชุมสภา (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.ไล่ชิงเต๋อ แสดงสุนทรพจน์ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ ในงานเลี้ยงน้ำชาของที่ประชุมสภา (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 15 ธ.ค. 68

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้แสดงสุนทรพจน์ผ่านการบันทึกวิดีทัศน์ หลังงานเลี้ยงน้ำชาของที่ประชุมสภา เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนร่วมรับทราบความเสี่ยงด้านรัฐธรรมนูญ และการบริหารประเทศในปัจจุบัน โดยปธน.ไล่ฯ ระบุว่า เมื่อช่วงที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติได้เร่งรัดผ่าน “กฎหมายการจัดสรรรายรับทางการคลังของรัฐบาล” (Act Governing the Allocation of Government Revenues and Expenditures) และร่างกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการปฏิรูประบบบำนาญไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดภาวะขาดดุลทางการคลัง หรือภาวะล้มละลายของระบบบำนาญไต้หวันก่อนกำหนด หรือการหยุดชะงักของภารกิจทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเมืองระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
 
ปธน.ไล่ฯ แถลงให้การสนับสนุนการตัดสินใจของนายจั๋วหรงไท่ นายกรัฐมนตรีไต้หวัน ตามที่อ้างอิงมาตราข้อ 37 ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ในการไม่ลงนามรับรองต่อ “กฎหมายการจัดสรรรายรับทางการคลังของรัฐบาล” เพื่อป้องกันมิให้ญัตติกฎหมายที่ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ มีผลบังคับใช้ แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญ และความมุ่งมั่นตั้งใจในการรักษาสวัสดิการของประเทศชาติและประชาชน พร้อมเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติ ถอนร่างกฎหมายซึ่งเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการถกเถียง และขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
 
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองรัฐธรรมนูญรูปแบบใหม่ ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำถึงความตั้งใจที่จะนำเสนอรายงานสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศชาติ ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติ ตามมาตรา 4 วรรค 3 ของบทบัญญัติเพิ่มเติมในกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้โดยศาลรัฐธรรมนูญ โดยปธน.ไล่ฯ ระบุว่า การปกป้องระเบียบรัฐธรรมนูญเท่ากับเป็นการการปกป้องประชาธิปไตยในไต้หวัน ส่วนการรักษาวินัยการคลังเท่ากับเป็นการปกป้องหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศชาติ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นภาคประชาชนยืนหยัดในการร่วมปกป้องประเทศชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศชาติ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศชาติสามารถก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้อย่างเฉิดฉายต่อไป
 
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า ในฐานะผู้นำประเทศ ภารกิจหลักของข้าพเจ้ามิใช่การผลักดันทางการเมือง แต่เป็นการปกป้องระบอบประชาธิปไตยของประเทศชาติ ตามหลักรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างหลักประกันความคุ้มครองด้านการพัฒนาอยู่รอดของภาคประชาชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์การเมืองภายใต้หลักรัฐธรรมนูญ พวกเราจำเป็นต้องชี้แจงต่อหน้าสาธารณชนให้เกิดความเข้าใจโดยทั่วกันว่า เรากำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรูปแบบใด พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางการบริหารประเทศชาติของปธน.ไล่ฯ เพื่อปกป้องประชาธิปไตย และรักษาสิทธิประโยชน์ของภาคประชาชนทั่วประเทศ
 
ประการแรก : วิกฤตการขาดดุลการคลังและการหยุดชะงักทางการเมือง การส่งเสริมให้เทศบาลท้องถิ่นมีทรัพยากรที่เพิ่มพูนในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน และดูแลความเป็นอยู่ของภาคประชาชน ถือเป็นเป้าหมายร่วมกันของพวกเรา
 
อย่างไรก็ตาม หากดำเนินการตามร่างกฎหมายการจัดสรรรายรับทางการคลังของรัฐบาล ที่ผลักดันโดยพรรคฝ่ายค้าน รัฐบาลกลางจะต้องกู้ยืมเงินสูงถึง 563,800 ล้านเหรียญไต้หวัน และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปทุกปี ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการขัดต่อเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยหนี้สาธารณะ (Public Debt Act) แล้ว ยังอาจส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐ เข้าใกล้ภาวะล่มสลายอีกด้วย
 
อีกนัยหนึ่งคือ ภารกิจราชการที่ดำเนินการโดยภาครัฐ อาทิ การดูแลผู้สูงอายุ , การรับฝากเลี้ยงบุตรธิดา , การศึกษาภาคเยาวชน , การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางกลาโหม อาจต้องประสบกับวิกฤตหรือการหยุดชะงัก  
 
ประการที่สอง : การปฏิรูประบบบำนาญไม่สามารถเดินย้อนกลับได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่ดำเนินการปฏิรูประบบบำนาญ เรามีเพียงเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือ การสร้างหลักประกันให้ระบบบำนาญมีความยั่งยืน เพื่อให้ข้าราชการทุกยุคสมัยได้รับประโยชน์กันโดยถ้วนหน้า
 
หากร่างกฎหมายข้างต้นมีผลบังคับใช้ ระบบบำบาญของพวกเราจะต้องประสบกับภาวะล้มละลายก่อนกำหนด ภาคประชาชนในประเทศจำต้องร่วมแบกรับหนี้ 700,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่ออุดช่องว่างของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หมายความว่า ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบกันเฉลี่ยคนละ 30,000 ดอลลาร์ ประกอบกับระบบประกันภัยแรงงาน ระบบการประกันภัยเกษตรกรรม และระบบประกันสังคม รวมถึงสิทธิประโยชน์สำคัญจำนวนมาก ต่างจะพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย  
 
ประการสุดท้าย : การใช้อำนาจเกินขอบเขตในการบัญญัติกฎหมาย โดยไม่ผ่านการอภิปรายกันระหว่างพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน นอกจากจะเป็นการละเมิดต่อระเบียบรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นภัยคุกคามที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
 
อีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2569 แล้ว แต่จวบจนปัจจุบัน ร่างงบประมาณกลางประจำปี 2569 ยังมิได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา ประกอบกับระยะที่ผ่านมา สถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกโดยรอบ นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากภัยคุกคามที่ก่อกระทำโดยรัฐบาลจีน แต่งบประมาณพิเศษทางกลาโหมเพื่อการยกระดับแสนยานุภาพทางกลาโหม กลับถูกมองข้ามด้วยความจงใจ ส่งผลให้ภารกิจต่างๆ ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น
 
นอกจากนี้ ความเป็นธรรมในการเลือกตั้งคือหัวใจสำคัญของประชาธิปไตย แต่ฝ่ายค้านยังคงเร่งผลักดันการแก้ไข “กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและถอดถอนประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี” (Presidential and Vice Presidential Election and Recall Act) เพื่อหวังจะทำให้การซื้อเสียงในขั้นตอนการเลือกตั้งขั้นต้น เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมาย พร้อมทั้งได้มีการแก้ไข “กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” (Public officials Election And Recall Act) เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่ได้รับโทษรอลงอาญา เข้าร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งได้ และสามารถเข้าสู่การกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศชาติได้
 
หากร่างกฎหมายข้างต้นเหล่านี้ได้รับมติเห็นชอบและมีผลบังคับใช้ ความมั่นคงในไต้หวัน , ประชาธิปไตยของไต้หวัน , ระบบเศรษฐกิจของไต้หวัน , สิทธิประโยชน์ของภาคประชาชน รวมถึงความเป็นธรรมในสังคม จะก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤตในทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นการแสดงออกซึ่งประชาธิปไตย แต่ถือเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย และเป็นการผลักให้ไต้หวันก้าวสู่ปากเหว “การใช้อำนาจนิติบัญญัติเกินขอบเขต และการบริหารในรูปแบบเผด็จการโดยพรรคฝ่ายค้าน”
 
ตลอดระยะเวลา 9 ปีกว่ามานี้ รัฐบาลมุ่งรักษาวินัยการคลังอย่างรัดกุม โดยพวกเราใช้งบประมาณอย่างระมัดระวัง อันเนื่องมาจากความมุ่งมั่นในการยืนหยัดการปฏิรูป การรักษาเสถียรภาพทางการคลัง เพื่อส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับการพัฒนาในทิศทางที่ก้าวกระโดด อันจะเห็นได้จากกรณีที่ไต้หวันมีงบประมาณเกินดุลติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2560 และเพิ่มพูนรายได้ขั้นต่ำของภาคประชาชน จากเดิมที่ 22,000 เหรียญไต้หวัน นอกจากนี้ พวกเรายังได้จัดเพิ่มศูนย์ดูแลผู้สูงอายุให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 15,000 แห่งจากเดิม 700 กว่าแห่ง อีกทั้งยังเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ควบคู่ไปกับการดำเนิน “โครงการรัฐบาลช่วยเลี้ยงบุตรธิดา วัย 0 – 6 ปี” และการยกเว้นค่าธรรมเนียมทางการศึกษาของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและนักเรียนอาชีวศึกษา รวมถึงจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตลอดจนผลักดันเงินอุดหนุนค่าเช่า เป็นต้น ผลสัมฤทธิ์เหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานวินัยการคลังและการคำนวณอย่างแม่นยำ เพื่อวางรากฐานอนาคตที่มั่นคงสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ มิใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง