สภาบริหาร วันที่ 24 ธ.ค. 68
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา นายจั๋วหรงไท่ นายกรัฐมนตรีไต้หวัน ได้ทำหน้าที่เป็นประธานใน “การประชุมคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศแห่งสภาบริหาร ครั้งที่ 34” พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะร่วมบรรเทาภาระหน้าที่การเลี้ยงดูบุตรธิดา ภายใต้ “นโยบายการทำงานและการดูแลบุตรธิดาแบบคู่ขนาน” ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้การสนับสนุนครอบครัวในการเลี้ยงดูบุตรธิดาเท่านั้น แต่ยังจะสรรสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรต่อทุกเพศสภาพ โดยเมื่อช่วงที่ผ่านมา สภาบริหารได้ประกาศ “แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการปราบปรามความรุนแรงทางเพศ ช่วงระหว่างปี 2568- 2570” (ฉบับปี พ.ศ. 2568 - 2570) เพื่อบูรณาการทรัพยากรการปราบปรามการใช้ความรุนแรง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและประสิทธิภาพของกลไกการป้องกันความรุนแรงทางเพศในภาพรวม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ภารกิจการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ มีความครอบคลุมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
นรม.จั๋วฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า การสร้างแนวคิดและสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อทุกเพศสภาพ ถือเป็นเป้าหมาย 2 แกนหลักที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กันในด้านความเสมอภาคทางเพศ
นรม.จั๋วฯ กล่าวว่า เพื่อการบูรณาการทรัพยากรการปราบปรามการใช้ความรุนแรงที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อช่วงที่ผ่านมา สภาบริหารจึงได้ประกาศ “แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการปราบปรามความรุนแรงทางเพศ ช่วงระหว่างปี 2568- 2570” โดยกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน (MOHW) ได้ทำการจัดตั้ง “สถาบันวิจัยและสำรวจแบบข้ามหน่วยงานเพื่อการปราบปรามการใช้ความรุนแรงทางเพศ” ภายใต้หลักการแผนปฏิบัติการข้างต้น
นรม.จั๋วฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมว่าด้วยความเสมอภาคทางเพศ ภายใต้สภาบริหาร หลังจากที่กระทรวงกีฬาได้แขวนป้ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเสมอภาคทางเพศในด้านการกีฬา จะได้รับการเปิดอภิปรายในการประชุมว่าด้วยความเสมอภาค เพื่อให้เกิดการบรรลุฉันทามติ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ด้านความเสมอภาคทางเพศของไต้หวัน ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบของประชาคมโลก
จากนั้น นรม.จั๋วฯ ยังได้รับฟังรายงานสถานการณ์การผลักดัน “นโยบายการทำงานและการดูแลบุตรธิดาแบบคู่ขนาน” จากกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งระบุว่า นโยบายข้างต้นช่วยให้กลุ่มเป้าหมายแรงงานสามารถสร้างความสมดุล ระหว่างงานและครอบครัว ผ่านระบบให้การสนับสนุนทางสังคมในมิติต่างๆ อาทิ การฝากเลี้ยง , การศึกษา , การดูแลและแรงงาน เพื่อพัฒนาสู่การเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
นรม.จั๋วฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน เจรจากับผู้ประกอบการภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่ระบบใหม่ของการลากิจเพื่อการเลี้ยงดูบุตรโดยไม่รับค่าจ้าง มีผลบังคับใช้ พร้อมทำการสำรวจสถานการณ์ความคืบหน้าในการดำเนินงาน รวบรวมความคิดเห็นของเหล่าคณะกรรมการและภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนามาตรการการสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างการประยุกต์ใช้ข้อมูลการวิเคราะห์มิติเพศภาวะ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มสตรีสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างราบรื่น รวมไปถึงการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของกลุ่มสตรีวัยกลางคนและวัยสูงอายุ พร้อมทั้งยื่นเสนอข้อมูลสถิติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นหลักอ้างอิงให้แก่คณะทำงานและภาคประชาชน ขณะเดียวกัน ก็มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลักดันระบบเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น และพิจารณาสำรวจระบบการลาที่สอดรับต่อความต้องการด้านแรงงานที่หลากหลาย ทั้งนี้ เพื่อสรรสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรต่อทุกเพศสภาพ