New Southbound Policy Portal

ปธน.ไช่ฯ เข้าร่วม “งานแถลงข่าวเปิดตัวสมุดปกขาวในโครงการสมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน”

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 12 มิ.ย. 63

 

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินแห่งสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม “งานแถลงข่าวเปิดตัวสมุดปกขาวในโครงการสมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน” (Talent Circulation Alliance White Paper Launch) พร้อมกล่าวย้ำว่า รัฐบาลไต้หวันจะบ่มเพาะบุคลากรที่เพรียบพร้อมด้วย “ความสามารถด้านทักษะ 2 ภาษา” และ “ความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล” และจะทำการผ่อนปรนกลไกการควบคุมที่เกี่ยวข้อง พร้อมดึงดูดบุคลากรชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาจากนานาประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ เพื่อสรรค์สร้างให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางแห่งบุคลากรนานาชาติ อันจะเป็นการยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อขานรับความท้าทายทุกรูปแบบในยุคสมัยใหม่


 

ปธน.ไช่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “สมุดปกขาวโครงการสมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน” โดยเมื่อเดือนเมษายนของปีที่แล้ว ปธน.ไช่ฯ ได้เข้าร่วม “การประชุมว่าด้วยการส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ” (Women's Economic Empowerment Summit) ซึ่งจากการประชุมในครั้งนั้น ทำให้ปธน.ไช่ฯ ได้รับทราบถึงการเสนอแนวคิด “สมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน” ที่ Mr. William Brent Christensen ผู้อำนวยการใหญ่สถาบันอเมริกาในไต้หวัน สำนักงานไทเป (AIT/T) ได้หยิบยกขึ้นมาร่วมแบ่งปัน


 

ปธน.ไช่ฯ กล่าวขอบคุณสถาบันอเมริกาในไต้หวัน เจ้าหน้าที่ภาครัฐของไต้หวัน และพันธมิตรทางธุรกิจที่มีส่วนร่วมในสมาพันธ์ฯ ดังกล่าว ด้วยความพยายามร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ จึงทำให้การจัดตั้ง “สมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน” สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้


 

ปธน.ไช่ฯ กล่าวต่อไปว่า ในด้าน “ความสามารถด้านทักษะ 2 ภาษา” เป็นการบ่มเพาะให้ประชาชนมีพื้นฐานด้านภาษาต่างประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศสองภาษาในปี 2030 ตลอดหลายปีมานี้ รัฐบาลไต้หวันได้กำหนดนโยบายต่างๆ ในการเสริมสร้างทักษะภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนนักศึกษาทุกระดับชั้น ในระดับชั้นประถมศึกษา โดยรัฐบาลได้เสริมสร้างให้เปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษ ในระดับชั้นอุดมศึกษา ภาครัฐจะให้เงินอุดหนุนในการจัดตั้งศูนย์วิจัยการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน ก็จะจัดรวบรวมหลักสูตรภาษาอังกฤษภาคธุรกิจ เพื่อให้บริการสำหรับผู้บริหารระดับสูงด้วย


 

เมื่อกล่าวถึง “ความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล” ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า พวกเราจะบ่มเพาะบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในจำนวนที่มากขึ้น เพื่อส่งเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เทคโนโลยี AI เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเปิดหลักสูตรเฉพาะทางที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่มากขึ้นแล้ว ก็ยังส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเข้ามีส่วนร่วมในการบ่มเพาะบุคลากรไต้หวันไปพร้อมกัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราจะให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของไต้หวัน เดินทางไปฝึกงานหรือทำงานในต่างประเทศ เพื่อที่ว่าเมื่อพวกเขากลับสู่ไต้หวันแล้ว จะนำเอาความสามารถที่ติดตัวเข้ามาพัฒนาต่อในประเทศด้วย


 

ปธน.ไช่ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “อุตสาหกรรมในยุคโลกาภิวัตน์” เป็นเป้าหมายของพวกเรา ในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการผลิต หรือด้านการวิจัย ต่างก็เป็นที่รู้จักในแนวหน้าของโลก พวกเราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะดึงดูดบุคลากรต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา เข้ามาในไต้หวัน เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันระดับนานาชาติของไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน ทางภาครัฐได้มอบบัตรทองการจ้างงาน จำนวนกว่า 720 ใบให้กับบรรดาบุคลากรชาวต่างชาติ และคาดว่าในอนาคตจะผ่อนปรนกลไกการควบคุมที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้มีการว่าจ้างบุคลากรชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในจำนวนที่มากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งกำหนดนโยบายที่มีแรงจูงใจ เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเปิดรับบุคลากรต่างชาติเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานมากยิ่งขึ้น


 

ปธน.ไช่ฯ ระบุว่า นอกจากผู้บริหารระดับสูงแล้ว พวกเรายังคาดหวังที่จะดึงดูดนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของทั่วโลก เดินทางมาศึกษา ฝึกงาน และทำงานในไต้หวัน โดยปธน.ไช่ฯ ได้อ้างอิงคำพูดประโยคหนึ่งที่ได้ระบุไว้ในสมุดปกขาวนี้ว่า พวกเราจะสรรค์สร้างให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางแห่งบุคลากรนานาชาติ ทำให้ “สมาพันธ์พัฒนาบุคลากรหมุนเวียน” มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มประสิทธิภาพแก่ไต้หวันและสหรัฐฯ รวมทั้งช่วยประสานความเชื่อมโยงระหว่างบุคลากรที่มาจากทั่วทุกมุมโลกและภาคธุรกิจที่มีความต้องการบุคลากรเหล่านี้ กล่าวโดยสรุป การแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างประเทศ จะสามารถนำพาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่หลากหลายมาสู่ไต้หวันในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน