New Southbound Policy Portal

CECC ปรับเพิ่มจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้าไต้หวันเป็นสัปดาห์ละ 40,000 คน และนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. เป็นต้นไป ชาวไต้หวัน ชาวต่างชาติที่ถือบัตร ARC ที่ยังมีอายุการใช้งานและผู้โดยสารที่เดินทางมาเปลี่ยนเครื่องในไต้หวัน ไม่จำเป็นต้องแนบใบรับรองผลตรวจ RT-PCR ที่เป็นลบ ก่อนขึ้นเครื่องภายใน 48 ชั่วโมง

กรมควบคุมโรค วันที่ 7 ก.ค. 65
 
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาดไต้หวัน (CECC) แถลงว่า  นับตั้งแต่เวลา 0.00 น. ของวันที่ 15 มิ.ย. ปี 2022 เป็นต้นไป ได้มีการผ่อนคลายมาตรการกักกันโรคที่พรมแดนให้เหลือเพียง “3+4” ซึ่งหมายถึงผู้โดยสารต้องทำการกักตัวในเคหสถานให้ครบ 3 วันและเฝ้าสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดอีก 4 วัน  พร้อมทั้งได้มีการควบคุมจำนวนผู้เดินทางเข้าไต้หวันได้ไม่เกิน 25,000 คนต่อสัปดาห์ โดยมาตรการดังกล่าวได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่ได้มีการพิจารณาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการป้องกันโรคระบาดและศักยภาพทางการแพทย์ภายในประเทศ ทาง CECC จึงได้ประกาศว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. เป็นต้นไป จะปรับเพิ่มจำนวนผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าสู่ไต้หวัน ไม่เกิน 40,000 คนต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ นับตั้งแต่เวลา 0.00 น. ของวันที่ 14 ก.ค. ปี 2022 (ตามตารางเวลาของเที่ยวบินที่เดินทางถึงไต้หวัน) เป็นต้นไป จะทำการยกเลิกกฎระเบียบว่าด้วยการแนบใบรับรองผลตรวจ RT-PCR ที่เป็นลบ ก่อนขึ้นเครื่องภายใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน โดยประชาชนชาวไต้หวัน ชาวต่างชาติที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ (ARC) ที่ยังมีอายุการใช้งาน และผู้โดยสารที่เดินทางมาเปลี่ยนเครื่องบินในไต้หวัน แต่หากผู้โดยสารที่มีผลตรวจเป็นบวกก่อนออกเดินทาง CECC ขอให้เลื่อนการเดินทางออกไปเป็นเวลา 7 วันนับแต่วันที่ตรวจ ทั้งนี้ เพื่อร่วมรักษาความปลอดภัยในการบินและการป้องกันโรคในชุมชนภายในประเทศ  นอกจากนี้ CECC ยังชี้แจงว่า รายละเอียดของมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งจำนวนวันกักตัวของผู้โดยสาร สถานกักตัว มาตรการตรวจคัดกรอง การกักตัวในเคหสถาน และการเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ซึ่งสามารถอ้างอิงข้อมูลได้ตามที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ :
 
1. จำนวนวันและสถานที่กักตัว

(1) กำหนดให้วันที่เดินทางเข้าสู่ไต้หวันเป็นวันที่ 0 โดยผู้โดยสารต้องทำการกักตัวในเคหสถานให้ครบ 3 วันและเฝ้าสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดอีก 4 วัน

(2) ในระหว่างการเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ต้องให้ความร่วมมือกับกฎระเบียบด้านการป้องกันโรคระบาด ดังต่อไปนี้ :

2.1) ห้ามออกนอกเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
2.2) ก่อนเดินทางไปทำงานหรือไปซื้อสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ต้องตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ ATK และต้องมีผลเป็นลบ ก่อนออกนอกที่พัก ภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน
2.3) ในระหว่างที่เดินทางออกนอกเคหสถาน ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมรักษาระยะห่างทางสังคม
2.4) สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นในการปฏิบัติภารกิจ เข้าเยี่ยมชม แสดงปาฐกถาหรือเข้าร่วมการประชุม ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมรักษาระยะห่างทางสังคม
2.5) ในระหว่างการทำงานต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา  พร้อมรักษาระยะห่างทางสังคม หากมีความประสงค์ในการรับประทานอาหาร สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ชั่วขณะ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ต้องสวมหน้ากากอนามัยทันที
2.6) หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ที่คนแออัด และไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
2.7) ผู้ที่มีนัดเลี้ยงอาหารเชิงธุรกิจ ต้องรับประทานอาหารในห้องส่วนตัว หรือร่วมรับประทานอาหารกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ควรมีฉากกั้นหรือรักษาระยะห่างทางสังคม
2.8) การเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายหรือการเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วน ควรเลื่อนออกไปก่อน

(3) สถานที่กักตัว ต้องสอดคล้องกับมาตรการ 1 คนต่อ 1 หลังหรือเข้าพักในโรงแรมกักโรค พร้อมทั้งกักตัวให้ครบตามกำหนด 3 วัน และเฝ้าสังเกตอาการตนเองต่ออีก 4 วัน นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มแรงงานต่างชาติ แรงงานประมงและนักศึกษาที่ส่วนใหญ่มักใช้สถานที่พำนักอาศัยร่วมกัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) ค่อนข้างสูง ทาง CECC จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกิจการเหล่านี้ เข้าตรวจสอบการกักตัวของกลุ่มเป้าหมายในสถานกักตัวให้เป็นไปตามมาตรการ 3+4 โดยในระหว่างการเฝ้าสังเกตอาการตนเอง ไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าสู่สถานศึกษา สถานที่ทำงานและไม่อนุญาตให้ออกนอกเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
 
2. มาตรการตรวจคัดกรอง

(1) สำหรับการตรวจ RT-PCR : ในระหว่างการเดินทางเข้าไต้หวัน (นับเป็นวันที่ 0) ผู้เดินทางต้องให้ความร่วมมือในการตรวจคัดกรองแบบ PCR โดยเก็บตัวอย่างจากน้ำลายในส่วนลึกของลำคอ ณ ท่าอากาศยานหรือท่าเรือ
 
(2) สำหรับการตรวจคัดกรองแบบ ATK : ในระหว่างที่เดินทางเข้าไต้หวัน จะมีเจ้าหน้าที่ในท่าอากาศยานหรือท่าเรือส่งมอบชุดตรวจโควิด – 19 ด้วยตนเอง (ATK) จำนวน 2 ชุดให้แก่ผู้โดยสารที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป เพื่อให้ผู้ที่มีอาการต้องสงสัยในระหว่างการกักตัวและในระหว่างการเฝ้าสังเกตอาการ ตรวจด้วยตนเอง รวมไปถึงการตรวจก่อนการออกนอกเคหสถานหลังครบกำหนดการกักตัว
 
3. ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางจากท่าอากาศยานไปยังสถานกักตัว : นอกจากโดยสารรถแท็กซี่ป้องกันโรคแล้ว ผู้เดินทางยังสามารถให้เพื่อนหรือญาติ หรือรถประจำหน่วยงานหรือองค์กรมารับส่ง พร้อมทั้งให้ความร่วมมือด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการป้องกันโรคระบาดของรถรับส่งอย่างเคร่งครัด
 
ขณะนี้ ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางเข้าสู่ไต้หวัน ยังคงจำเป็นต้องแนบใบรับรองผลตรวจ RT-PCR ที่เป็นลบ ก่อนขึ้นเครื่องภายใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน (ตามตารางเวลาของเที่ยวบินที่เดินทางถึงไต้หวัน) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เวลา 0:00 น.ของวันที่ 14 ก.ค. (ตามตารางเวลาของเที่ยวบินที่เดินทางถึงไต้หวัน) เป็นต้นไป จะทำการยกเลิกกฎระเบียบว่าด้วยการแนบใบรับรองผลตรวจ RT-PCR ที่เป็นลบ ก่อนขึ้นเครื่องภายใน 48 ชั่วโมง สำหรับชาวไต้หวัน ชาวต่างชาติที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ (ARC) ที่ยังมีอายุการใช้งาน และผู้โดยสารที่เดินทางมาเปลี่ยนเครื่องบินในไต้หวัน แต่หากผู้โดยสารที่มีผลการตรวจเป็นบวกก่อนออกเดินทาง CECC ขอให้เลื่อนการเดินทางออกไปเป็นเวลา 7 วันนับแต่วันที่ตรวจ ทั้งนี้ เพื่อร่วมรักษาความปลอดภัยในการบินและการป้องกันโรคในชุมชนภายในประเทศ โดย CECC จะจับตาการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์ย่อยในต่างประเทศ  รวมถึงสถานการณ์การตรวจพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้โดยสารขาเข้า พร้อมทั้งจะทำการพิจารณาและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากมีความจำเป็นจะทำการปรับแก้มาตรการที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม
 
CECC เน้นย้ำว่า มาตรการควบคุมพรมแดนเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนที่อยู่ระหว่างการกักตัว ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันรักษาความปลอดภัยของชุมชนในประเทศ