New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 31 ก.ค. 65
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงวิชาการภายใต้หัวข้อ “การนัดพบปะในอีก 50 ปีข้างหน้าระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น” โดยปธน.ไช่ฯ ได้เสนอความคาดหวังต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น ในภายภาคหน้ารวม 3 ประการ ดังนี้ (1) เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าอย่างเป็นรูปธรรม (2) เสริมสร้างการผนึกกำลังของภาคประชาสังคม และบูรณาการความเชี่ยวชาญทางการศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างกัน และ (3) อาศัยแนวทางที่เป็นระบบแบบแผนในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านหลักประกันทางความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยปธน.ไช่ฯ คาดหวังที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในเชิงลึกกับญี่ปุ่น เพื่อร่วมธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่สืบไป
หลังจากที่ปธน.ไช่ฯ เดินทางมาถึงที่ประชุม ก็ได้ร่วมไว้อาลัยและรำลึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะแห่งญี่ปุ่น หลังจากนั้นจึงได้ร่วมกล่าวปราศรัย โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีหลี่เติงฮุย ก็ได้จากพวกเราไปเมื่อสองปีก่อน โดยตลอดทั้งชีวิตของอดีตปธน.หลี่ฯ ได้มุ่งมั่นในการแสวงหาแนวทางประชาธิปไตยของไต้หวัน โดยผลสัมฤทธิ์ที่ท่านได้ผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของไต้หวัน ยังคงเป็นมรดกที่สำคัญที่ประชาชนชาวไต้หวันยึดถือร่วมกันมาตราบจนปัจจุบัน
ปธน.ไช่ฯ กล่าวว่า อดีตนรม.อาเบะ เคยกล่าวชื่นชมและยกย่องความสามารถในการประสานความร่วมมือและการปฏิบัติการของอดีตปธน.หลี่ฯ ที่นำพาให้ไต้หวันก้าวเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยอดีตปธน.หลี่ฯ ก็เคยกล่าวไว้ว่า ไต้หวัน – ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยอย่างหนักแน่นที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนและสันติภาพมากที่สุด นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังเป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทั้ง 4 ทิศ จึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในหลายจุด หรืออาจกล่าวได้ว่า ไต้หวัน – ญี่ปุ่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน จึงควรที่จะประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
ปธน.ไช่ฯ ชี้ว่า หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น ได้ก้าวสู่ศักราชใหม่ที่เหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือความท้าทายที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ทั้งไต้หวัน – ญี่ปุ่นต่างก็เอื้อประโยชน์ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคและความท้าทายนานาประการ
ในระหว่างการประชุม ปธน.ไช่ฯ ได้ระบุถึงความคาดหวัง 3 ประการที่มีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่นในภายภาคหน้า ประการแรกคือเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยญี่ปุ่นเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของไต้หวัน และเป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุนจากต่างประเทศและพันธมิตรด้านความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีที่สำคัญของไต้หวัน โดยไต้หวันก็เป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งสองประเทศได้เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่ภาครัฐมาจนถึงภาคประชาชน จากส่วนกลางมาถึงส่วนท้องถิ่น ผ่านช่องทางการประสานความร่วมมือที่หลากหลาย ทั้งจากรัฐบาลส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจและสมาคมต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความมั่นคงระหว่างกัน เช่นในกรณีที่บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ได้ประสานความร่วมมือกับบริษัท SONY ในการจัดตั้งโรงงานในนครคูมาโมโตะ นับว่าเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน
ปธน.ไช่ฯ เห็นว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ผกผันไปอย่างรวดเร็ว บทบาทของไต้หวัน – ญี่ปุ่นในห่วงโซ่คุณค่าทางอุตสาหกรรม ถือเป็นพันธมิตรมากกว่าคู่แข่ง ปธน.ไช่ฯ จึงเชื่อว่า การสานต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ไต้หวัน – ญี่ปุ่นได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในการแบ่งหน้าที่กันในตลาดต่างประเทศ ซึ่งพวกเราได้เตรียมตัวจนพร้อมแล้ว ในการสร้างมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศในระดับสูง จึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับโอกาสในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)” ในอนาคตอันใกล้นี้
ปธน.ไช่ฯ เผยถึงความคาดหวังประการที่ 2 โดยระบุว่า ต้องการที่จะเสริมสร้างการผนึกกำลังของภาคประชาสังคม และบูรณาการความเชี่ยวชาญทางการศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างกัน ซึ่งนอกจากด้านเศรษฐกิจและการค้าแล้ว ภาคประชาชนระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น ก็มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านวัฒนธรรม การศึกษาและการประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรเอกชนอย่างแนบแน่น ซึ่งได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือรูปแบบใหม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดที่ผ่านมา
ปธน.ไช่ฯ ได้หยิบยกตัวอย่างในปี 2017 ที่ไต้หวัน – ญี่ปุ่นได้ร่วมลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น” โดยได้มุ่งเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนทางศิลปะและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม หลายปีมานี้ ศิลปินระดับปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น อาทิ Mr. Yoshitomo Nara ได้เดินทางมาร่วมจัดนิทรรศการในไต้หวัน ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ เขายังได้รวบรวมสมาชิกรุ่นใหม่อย่างสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้ช่วยสมาชิกรัฐสภาเดินทางมาเยือนไต้หวัน ภายใต้ “โครงการค่ายฝึกอบรมเยาวชนญี่ปุ่นในไต้หวัน”
นอกจากนี้ ปธน.ไช่ฯ ยังได้ระบุถึงความคาดหวังประการที่ 3 ว่า ต้องการอาศัยแนวทางที่เป็นระบบแบบแผนในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านหลักประกันทางความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยปธน.ไช่ฯ ได้ขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่นที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่สองฝั่งช่องแคบไต้หวันบนเวทีนานาชาติอยู่บ่อยครั้ง โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา Mr. Ishiba Shigeru สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้นำคณะตัวแทน “การประชุมสมาชิกรัฐสภาด้านหลักประกันทางความมั่นคงของญี่ปุ่น” ที่เกิดจากการรวมตัวของสมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่นแบบข้ามพรรค เดินทางมาเยือนทำเนียบประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) โดยได้ร่วมหารือกันในประเด็นความมั่นคงในพื้นที่ภูมิภาคในเชิงลึกด้วย
ปธน.ไช่ฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวัน - ญี่ปุ่นต่างก็ตั้งอยู่ในห่วงโซ่ที่ 1 (First Island Chain) ที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้ ไต้หวัน – ญี่ปุ่นจึงควรเสริมสร้างความร่วมมือในเชิงลึก เพื่อร่วมธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก โดยทั้งสองประเทศสามารถเสริมสร้างรูปแบบความร่วมมือที่มีความเหนียวแน่นและเป็นระเบียบแบบแผน ภายใต้ฉันทามติที่มีร่วมกัน เพื่อการประสานงานที่มีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น
ท้ายนี้ ปธน.ไช่ฯ เชื่อว่า การเสริมสร้างประชาธิปไตยในเชิงลึก สำแดงแนวคิดด้านเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน เชื่อมโยงให้ประเทศชาติและประชาชน ประสานสามัคคี ภายใต้ค่านิยมสากลที่มีร่วมกัน เพื่อร่วมปกป้องรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ถือเป็นความท้าทายและพันธกิจของประชาชนรุ่นเราในปัจจุบัน ปธน.ไช่ฯ จึงให้กำลังใจแก่ทุกภาคส่วนว่า “พวกเราร่วมสู้ไปด้วยกัน”