New Southbound Policy Portal

รมว.กต.ไต้หวันให้สัมภาษณ์แก่นสพ. Tages-Anzeiger ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยแสดงจุดยืนของไต้หวันในการธำรงรักษาสถานภาพเดิมระหว่างช่องแคบไต้หวัน ควบคู่ไปกับการปกป้องค่านิยมด้านประชาธิปไตยให้คงอยู่สืบไป

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 18 ธ.ค. 65
 
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์แก่ Mr. Christof Münger หัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศและ Mr. Simon Widmer ผู้สื่อข่าวแห่งหนังสือพิมพ์ Tages-Anzeiger ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยรมว.อู๋ฯ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน ข้อคิดที่ได้รับจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครนและความสัมพันธ์แบบทวิภาคระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ และไต้หวัน – สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทุกฝ่ายในสวิตเซอร์แลนด์
 
รมว.อู๋ฯ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า ระยะที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ในจีนค่อนข้างระส่ำระส่าย ซึ่งรัฐบาลไต้หวันก็มิได้รู้สึกยินดีที่เห็นว่ามีความวุ่นวายเกิดขึ้น แต่ก็มิได้รู้สึกนิ่งนอนใจตามที่มีการคาดการณ์ไว้ โดยไต้หวันยังคงจับตาต่อพฤติกรรมของจีนที่อาจใช้ประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน มาเบี่ยงเบนวิกฤตภายในของตน เพื่อหันเหความสนใจของประชาชนในประเทศ เฉพาะในปีนี้ จีนได้ส่งเครื่องบินรบรุกล้ำเข้าสู่เขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวัน เป็นจำนวนกว่า 3,000 ลำแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับในปี 2020 ที่จีนบุกรุกล้ำดินแดนไต้หวันด้วยเครื่องบินรบจำนวน 380 ลำ และอีก 972 ลำในปี 2021 ประกอบกับเมื่อช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ประกาศระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการประมงของไต้หวัน รวมไปถึงเบียร์ยี่ห้อ Taiwan Beer ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และถือเป็นการโจมตีไต้หวันในรูปแบบสงครามลูกผสม ผ่านการคุกคามทางไซเบอร์ การแพร่กระจายข่าวปลอม เป็นต้น จึงไม่สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ที่จีนอาจกำลังเตรียมการเข้ารุกรานไต้หวันในเร็ววันนี้
 
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวอ้างในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ว่า ไต้หวันเป็นปัญหาทางการเมืองภายในของจีน แต่หากมองในแง่มุมเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ไต้หวันตั้งอยู่ในพื้นที่ระยะห่วงโซ่ที่ 1 (First Island Chain) ซึ่งเป็นพื้นที่ทางผ่านที่จีนจะใช้เพื่อขยายอิทธิพลไปสู่กลุ่มประเทศในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้ ไต้หวันยังเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระดับนานาชาติ ซึ่งจีนต้องการจะเข้าครอบครอง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น จีนยังมองว่าประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชนของไต้หวัน เป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบเผด็จการ รัฐบาลจีนจึงต้องการที่ปราบปรามให้สิ้นซาก จึงเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความทะเยอทะยานที่จีนต้องการเข้าครอบครองไต้หวัน เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายจากจีน พวกเราจะใช้แนวทางในการรับมืออย่างมีสติและค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งมีความรับผิดชอบ ทำให้ได้รับพลังสนับสนุนจากประชาคมโลก
 
ต่อกรณีที่รมว.อู๋ฯ ถูกรัฐบาลจีนกล่าวหาว่าเป็น “กลุ่มหัวรุนแรงในการประกาศเอกราชของไต้หวัน” รมว.อู๋ฯ ตอบแบบติดตลกว่า “ผมเหมือนหรอ ?” พร้อมชี้แจงว่า ในฐานะที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องยึดมั่นในจุดยืนที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลในการธำรงรักษาสถานภาพเดิมของช่องแคบไต้หวัน โดยนัยยะของ “สถานภาพเดิม” ก็คือสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยข้อเท็จจริงว่าด้วยสถานภาพปัจจุบันได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 60 – 70 ปีแล้ว สำหรับทิศทางการพัฒนาในอนาคต ขอให้เป็นการตัดสินใจร่วมกันของประชาชนชาวไต้หวันต่อไป
 
รมว.อู๋ฯ ย้ำอีกว่า การที่ไต้หวันพยายามต่อสู้กับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน เปรียบเสมือนเดวิดที่ต่อสู้กับโกลิอัท ตามเนื้อเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิล ประกอบกับสงครามรัสเซีย – ยูเครนที่ทั่วโลกได้ตระหนักเห็นถึงสถานการณ์ที่ชาวยูเครนลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านการรุกรานจากรัสเซีย ซึ่งนอกจากไต้หวันจะเข้าร่วมในการคว่ำบาตรการรัสเซีย ควบคู่ไปกับการส่งมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้ชาวยูเครนแล้ว ยังได้รับบทเรียนและกำลังใจจากเหตุสงครามในครั้งนี้อีกด้วยว่า เพียงแค่พวกเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ควบคู่ไปกับการพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเสริมสร้างแสนยานุภาพทางกลาโหมที่ขาดความสมดุล รวมทั้งพึ่งพาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผ่านการอนุมัติจำหน่ายโยรัฐบาลสหรัฐฯ และการเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหมอย่างเต็มที่ เชื่อว่าไม่มีใครสามารถแย่งชิงอำนาจอธิปไตยและเสรีภาพของพวกเราไปได้อย่างแน่นอน
 
รมว.อู๋ฯ กล่าวอีกว่า นอกจากภารกิจการป้องกันประเทศที่เป็นภารกิจหลักของพวกเราแล้ว ไต้หวันยังต้องการพลังสนับสนุนจากประชาคมโลกอีกด้วย โดยรมว.อู๋ฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ที่ยึดมั่นในจุดยืนเป็นกลางมาโดยตลอด คงความเป็นกลางในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันไว้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจีนเป็นประเทศระบอบเผด็จการ และมักจะสร้างแรงกดดันให้ประเทศประชาธิปไตยอยู่เสมอ รมว.อู๋ฯ คาดหวังที่จะเห็นรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ให้การยอมรับต่อความทรหดทางประชาธิปไตย และศักยภาพทางเศรษฐกิจของไต้หวัน โดยเริ่มจากการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการรับมือกับข่าวปลอมและสงครามลูกผสม พร้อมคาดหวังที่จะมีโอกาสเดินทางไปเยือนและแลกเปลี่ยนกับสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันในเชิงลึกต่อไป