New Southbound Policy Portal

รมว.กต.ไต้หวันให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวนสพ. Le Figaro ของฝรั่งเศส โดยเน้นย้ำว่า ประชาชนชาวไต้หวันเตรียมพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อประเทศชาติและเสรีภาพ

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 27 ธ.ค. 65
 
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา Mr. Sébastien Falletti ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Le Figaro ของฝรั่งเศส ได้ทำการสัมภาษณ์นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในประเด็นหัวข้อต่างๆ อาทิ สงครามรัสเซีย - ยูเครน สถานการณ์การเมืองภายในประเทศของจีนหลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 และผลกระทบต่อสถานการณ์ช่องแคบไต้หวัน รวมไปถึงข้อได้เปรียบของระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้ถูกเผยแพร่ผ่านบทความในหัวข้อ “ประชาชนชาวไต้หวันเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ” (Les Taïwanais sont prêts à se battre pour leur liberté) ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในวงกว้าง
 
เริ่มต้น รมว.อู๋ฯ ชี้แจงว่า ธงประจำชาติยูเครนที่วางเรียงรายอยู่ในห้องโถงรับแขกของที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศ ไต้หวัน เป็นธงที่ผ่านการลงนามจากวีรชนผู้กล้าหาญที่ต่อสู้ในพื้นที่แนวหน้าของยูเครน รวมไปถึงนวมมวยที่นายวิตาลี คลิตช์โก (Vitali Klitschko) นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟของยูเครน ส่งมอบให้ไต้หวัน ล้วนมีคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้กล่าวว่า สงครามรัสเซีย – ยูเครนให้ข้อคิดที่สำคัญกับไต้หวัน เนื่องจากสงครามที่เกิดขึ้นเป็นพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของประเทศลัทธิอำนาจนิยมที่กระทำต่อประเทศประชาธิปไตย โดยไต้หวันได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกในการประณามและประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ควบคู่ไปกับการส่งมอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและช่วยฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ประชาชนชาวยูเครน ซึ่งได้รับการยอมรับจากมิตรสหายชาวยูเครนโดยถ้วนหน้า
 
รมว.อู๋ฯ เผยว่า ไต้หวันในฐานะที่เป็นประเทศแนวหน้าที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากประเทศระบอบเผด็จการเช่นกัน การที่ได้ประจักษ์เห็นว่า ประชาชนชาวยูเครนประสานสามัคคีในการร่วมสกัดกั้นกองกำลังทหารอันแข็งแกร่งของโลกด้วยแสนยานุภาพทางกลาโหมที่ขาดความสมดุล ได้ปลุกพลังความฮึกเหิมให้แก่ประชาชนชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก โดยไต้หวันจะเร่งปฏิรูปด้านกลาโหมควบคู่ไปกับการเสริมสร้างอุตสาหกรรมกลาโหม และจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เพื่อยกระดับศักยภาพด้านการป้องกันประเทศด้วยตนเอง โดยไต้หวันจะเร่งเสริมสร้างการติดต่อเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศประชาธิปไตยควบคู่ไปด้วย เพื่อแสวงหาพลังสนับสนุนจากประชาคมโลก โดยในช่วงที่ผ่านมา การประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนําของโลก 7 ชาติ (Group of Seven, G7) การประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป ต่างประกาศแถลงการณ์เพื่อร่วมต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมของความสัมพันธ์ในช่องแคบไต้หวัน อันเกิดจากความเห็นชอบเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการสกัดกั้นความทะเยอทะยานของจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ต่อกรณีที่ว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน จะก่อสงครามต่อไต้หวันภายในปี 2027 หรือไม่นั้น รมว.อู๋ฯ แถลงว่า เรามิสามารถมองข้ามความเป็นไปได้ที่ว่า รัฐบาลจีนอาจพุ่งเป้ามาที่ไต้หวันด้วยการรุกล้ำดินแดนไต้หวันด้วยกำลังทหาร ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ที่เกิดจากการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจ และความล้มเหลวของนโยบายการป้องกันโรคระบาดของจีน เมื่อเผชิญหน้าต่อภัยคุกคามจากจีนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น แนวทางการรับมือที่ดีที่สุดของไต้หวันก็คือการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ โดยผลสำรวจความคิดเห็นของภาคประชาชนแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวไต้หวันส่วนมากเตรียมพร้อมแล้วในการร่วมปกป้องประเทศชาติ และจะต่อสู้เพื่อเสรีภาพอย่างมุ่งมั่น รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ประชาชนชาวไต้หวันมิสามารถยอมรับต่อ “หลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ” ที่จีนยัดเยียดให้แก่ฮ่องกง หากเกิดวิกฤตสงคราม ไต้หวันจะร่วมสู้เพื่อสกัดกั้นการรุกรานอย่างสุดกำลัง เปรียบเสมือนเดวิดที่ต่อสู้กับโกลิอัท ตามเนื้อเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิล อย่างไรก็ตาม ไต้หวันไม่คาดหวังที่จะให้เกิดสงคราม ยิ่งเราเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่มากเท่าไหร่ รัฐบาลจีนก็ยิ่งไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามอันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง
 
รมว.อู๋ฯ ยังได้ระบุถึงปัญหาที่กลุ่มประเทศประชาธิปไตยต้องเผชิญหน้า โดยรมว.อู๋ฯ กล่าวว่า แม้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจต้องประสบกับความวุ่นวายในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาว ระบอบประชาธิปไตยจะสำแดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและฟื้นคืนสู่ภาวะปกติได้ด้วยตนเอง ในทางกลับกัน ระบอบเผด็จการอาจดูแล้วยิ่งใหญ่ แต่เนื่องจากไม่มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของอำนาจการปกครอง หากนโยบายเกิดช่องโหว่หรือปัญหา ก็จะก้าวไปสู่ความฟอนเฟะได้โดยง่าย โดยการเมืองระบอบเผด็จการที่รวมอำนาจทั้งหมดไว้ที่ส่วนกลาง มักจะตัดสินใจทำอะไรที่ผิดพลาด อันจะนำมาซึ่งภัยพิบัติในที่สุด