New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 21 มี.ค. 66
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำเนียบประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศว่า ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เตรียมนำคณะตัวแทนเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรอย่างสาธารณรัฐกัวเตมาลาและเบลีซในช่วงระหว่างวันที่ 29 มี.ค. – 7 เม.ย.นี้ โดยปธน.ไช่ฯ คาดหวังที่จะบรรลุเป้าหมายหลัก 2 ประการ ได้แก่ “การเสริมสร้างประชาธิปไตย” และ “การพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” ทั้งนี้ เพื่อต้องการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างพันธมิตรด้านประชาธิปไตยในเชิงลึก ควบคู่ไปกับการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในระดับนานาชาติ ตลอดจนเร่งผลักดันโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาในรูปแบบที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพื่อมุ่งมั่นเสริมสร้างสวัสดิการ โครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันต่อไป
นายหลินอวี้ฉาน โฆษกทำเนียบปธน. กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั่วโลก ส่งผลให้ปธน.ไช่ฯ ไม่ได้นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว โดยครั้งล่าสุดคือในปี 2019 ที่ปธน.ไช่ฯ ได้เดินทางเยือนประเทศพันธมิตรในแถบทะเลแคริบเบียน เนื่องจากเมื่อเดือนกันยายนของปีที่แล้ว H.E. Alejandro Giammattei ประธานาธิบดีสาธารณรัฐปารากวัยได้ออกปากเชิญชวนให้ปธน.ไช่ฯ หาโอกาสเดินทางเยือนกัวเตมาลา โดยปธน. Giammattei ได้แสดงจุดยืนในการสนับสนุนมิตรภาพระหว่างไต้หวัน – กัวเตมาลาอย่างหนักแน่น บนเวทีนานาชาติและในระหว่างการให้สัมภาษณ์แก่สื่อต่างประเทศอย่างเปิดเผย โดยทั้งสองประเทศได้ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชนและทุกแวดวงในกัวเตมาลา
โฆษกหลินฯ กล่าวว่า อีกหนึ่งประเทศปลายทางที่ปธน.ไช่ฯ เตรียมเดินทางเยือนในครั้งนี้ คือเบลีซ ซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างมีความหมายเสมอมาเป็นเวลายาวนาน โดยทั้งสองฝ่ายต่างพัฒนาความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนระหว่างกันอย่างแนบแน่น ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีทางการเกษตร เป็นต้น ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว Mr. John Briceño นายกรัฐมนตรีเบลีซได้นำคณะตัวแทนเดินทางเยือนไต้หวัน นอกจากนี้ Ms.Rossana Briceño ภริยาของนายกรัฐมนตรีแห่งเบลีซ และทูตพิเศษด้านสิทธิสตรีและเด็ก ก็ได้ตอบรับคำเชิญของรัฐบาลไต้หวัน นำคณะตัวแทนเดินทางมาเข้าร่วม “การประชุมนานาชาติด้านการส่งเสริมสิทธิสตรีในภูมิภาคลาตินอเมริกาและพื้นที่แถบทะเลแคริบเบียน” ที่จัดขึ้นในไต้หวัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยเช่นกัน
โฆษกหลินฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อตอบรับคำเชิญจากรัฐบาลของกลุ่มประเทศพันธมิตรและแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อประเทศพันธมิตร ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศประชาธิปไตย ปธน.ไช่ฯ จึงเตรียมเปิดฉาก “แผนการเดินทางเยือนพันธมิตรประชาธิปไตย เพื่อพิชิตความเจริญรุ่งเรือง” ขึ้นในวันที่ 29 มี.ค. นี้ โดยจะแวะผ่านนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ และมุ่งหน้าสู่กัวเตมาลาและเบลีซตามลำดับ โดยเที่ยวบินขากลับจะแวะผ่านนครลอสแอนเจลิส ซึ่งคาดว่าจะเดินทางกลับถึงไต้หวันในวันที่ 7 เม.ย. รวมระยะเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 10 วัน 9 คืน
โฆษกหลินฯ ระบุว่า ตลอดหลายปีมานี้ ทั่วโลกประสบกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่สถานการณ์โรคโควิด – 19 สงครามรัสเซีย - ยูเครน และภัยพิบัติแผ่นดินไหวในตุรกี โดยไต้หวันยังคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาคมโลกเสมอมา ถือได้ว่าเป็นพลังแห่งความดีของประชาคมโลก การเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรในครั้งนี้ นอกจากต้องการที่จะแสดงความขอบคุณต่อพันธมิตรที่ร่วมยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและเสรีภาพ และให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเต็มกำลังแล้ว ยังจะเร่งเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกว้างในประเด็นต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีการเกษตร การแพทย์และสาธารณสุข การส่งเสริมศักยภาพสตรี เศรษฐกิจดิจิทัล และความมั่นคงในระบบห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น โดยในอนาคต ไต้หวันจะมุ่งมั่นประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศพันธมิตรและมิตรประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ในการธำรงรักษาสันติภาพในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการอุทิศคุณประโยชน์ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกต่อไป
ในลำดับต่อมา นายอวี๋ต้าเหลย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ชี้แจงรายละเอียดแผนการเดินทางในครั้งนี้ โดยระบุว่า วัตถุประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้ของปธน.ไช่ฯ ก็เพื่อต้องการสืบสานสัมพันธภาพอันดีงามระหว่างไต้หวัน - กัวเตมาลา และไต้หวัน – เบลีซ และเพื่อนำเสนอให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ทางความร่วมมือแบบทวิภาคี รวมถึงวิสัยทัศน์การพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองแบบเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ตลอดจนเป็นการกระชับการมีปฏิสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างปธน.และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มประเทศเป้าหมาย ให้คงอยู่ยืนยาวสืบไป
รมช.อวี๋ฯ ระบุว่า กำหนดการเดินทางเยือนกัวเตมาลาในครั้งนี้ ประกอบด้วย การเข้าพบปะพูดคุยกับ ปธน. Giammattei พร้อมเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม “ความตกลงทางความร่วมมือขั้นพื้นฐานระหว่างไต้หวัน - กัวเตมาลา” และเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองที่จัดโดย ปธน. Giammattei อีกทั้งเข้าร่วมพิธีส่งมอบและเปิดใช้สถานพยาบาล Chimaltenango ตลอดจนเข้าร่วมเสวนากับตัวแทนกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่พำนักอยู่ในกัวเตมาลา เป็นต้น
ส่วนกำหนดการเยือนเบลีซ ประกอบด้วย การเข้าพบปะพูดคุยกับนรม. Briceño พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ 2 ประเทศ และการแสดงปาฐกถาในรัฐสภาเบลีซ อีกทั้งเข้าตรวจการณ์ความคืบหน้าของโครงการเสริมสร้างระบบการผลิตและแนะแนวการเลี้ยงแกะพันธุ์ ตลอดจนเข้าร่วมงานเปิดตัวผลสัมฤทธิ์ในโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มสตรี นอกจากนี้ ยังมีกำหนดการเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารที่ทยอยจัดโดย Ms. Froyla Tzalam ผู้สำเร็จราชการแห่งเบลีซและนรม. Briceño รวมถึงเข้าร่วมเสวนากับตัวแทนกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่พำนักอยู่ในเบลีซ เป็นต้น
รมช.อวี๋ฯ เน้นย้ำว่า การผลักดันการทูตโดยผู้นำประเทศ เพื่อกระชับมิตรภาพระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงระหว่างประเทศพันธมิตร ถือเป็นภารกิจการทูตที่สำคัญของรัฐบาล และเป็นภารกิจหลักในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภายใต้ “การทูตแบบเป็นรูปธรรม” ที่ผลักดันโดยรัฐบาลไต้หวันในปัจจุบัน