New Southbound Policy Portal

รมว.กต.ไต้หวันให้สัมภาษณ์แก่สื่อสหรัฐฯ 3 สำนัก เรียกร้องประชาคมโลกร่วมสกัดกั้นการข่มขู่จากจีน พร้อมเน้นย้ำ ไต้หวันต้องสร้างหลักประกันด้านการป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเองและขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนอย่างหนักแน่น

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 11 เม.ย. 66
 
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Aishah Hasnie ผู้สื่อข่าวฝ่ายกิจการสภาของสถานีโทรทัศน์ Fox News โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่ผ่านรายการและเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ Fox News  เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทั่วโลก
 
เริ่มต้นด้วยการหยิบยกประเด็นการซ้อมรบรอบไต้หวัน รมว.อู๋ฯ แจ้งเตือนว่า ระยะนี้ จีนระดมเครื่องบินรบและเรือรบเคลื่อนเข้าใกล้ไต้หวันในระยะประชิด จึงเกรงว่าอาจเป็นการจุดชนวนสงครามระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันจนไม่สามารถควบคุมได้ หากมีประเทศอื่นเข้าแทรกแซง ก็อาจจะก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งทางการทหารเป็นวงกว้าง โดยที่ผ่านมา รัฐบาลจีนเพ้อฝันว่าจะสามารถยึดไต้หวันได้ในระยะเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงจำเป็นต้องเร่งเสริมสร้างแสนยานุภาพด้านการป้องกันประเทศ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลจีนตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากมีการใช้กำลังอาวุธ ทั้งนี้ เพื่อต้องการบรรลุเป้าหมายในการสกัดกั้นการรุกรานไต้หวันของจีนอย่างมีประสิทธิภาพ
 
รมว.อู๋ฯ แถลงว่า การซ้อมรบของจีนในระยะที่ผ่านมานี้ สะท้อนให้เห็นแล้วว่า การข่มขู่ทางการทหารและการโจมตีทางการทูต ที่จีนกระทำต่อไต้หวัน ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การสนับสนุนจากรัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง จึงมีความสำคัญต่อไต้หวันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ที่รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเต็มกำลัง ได้สร้างความซาบซึ้งใจให้ไต้หวันเป็นอย่างมาก
 
รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า แม้ว่าการสนับสนุนจากสหรัฐฯ จะมีความสำคัญต่อการสกัดกั้นการเกิดสงครามระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน แต่อย่างไรก็ตาม การปกป้องไต้หวันเป็นภาระหน้าที่ในความรับผิดชอบของไต้หวันโดยตรง โดยพวกเราจะไม่อาศัยทหารสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงในระหว่างสงคราม นอกจากนี้ รมว.อู๋ฯ ยังใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อนุมัติจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ไต้หวันเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการฝึกอบรมทางทหารระดับสูงให้แก่กองทัพไต้หวัน ตลอดจนเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของไต้หวันที่ขาดความสมดุล เพื่อสร้างหลักประกันด้านการป้องกันประเทศด้วยการพึ่งพาตนเองของไต้หวัน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ พวกเรายังขอเรียกร้องให้ประชาคมโลก ร่วมกระตุ้นให้รัฐบาลปักกิ่งดำเนินภารกิจต่างๆ อย่างระแวดระวัง พร้อมทั้งร่วมแสดงจุดยืนว่าด้วยการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเดิมในปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคให้คงอยู่ต่อไป
 
ต่อประเด็น “ข้อกังหาต่อเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ” ที่ได้มีการถกเถียงกันภายในประเทศนั้น รมว.อู๋ฯ วิเคราะห์ว่า การสั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนชาวไต้หวัน ที่มีต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นวัตถุประสงค์ในการทำสงครามจิตวิทยาของจีน หากมองจากสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน การที่รัฐบาลจีนข่มขู่ไต้หวันทุกวิถีทางเสมอมาเป็นเวลานาน กับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเต็มกำลังทั้งในด้านการทหารและการเมือง ตามที่ระบุไว้ใน “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” และ “หลักประกัน 6 ประการ” เสมอมา ไม่ว่าผู้นำประเทศจะเป็นสมาชิกของพรรคเดโมแครตหรือพรรคริพับลิกัน ก็ไม่เคยหยุดที่จะสานต่อนโยบายที่เป็นมิตรต่อไต้หวัน จึงจะเห็นว่า การสนับสนุนของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวัน “แข็งแกร่งดุจหินผา”
 
รมว.อู๋ฯ ยังชี้แจงถึงความสำคัญของไต้หวันที่มีต่อประชาคมโลก ชิปขั้นสูงที่ผลิตโดยไต้หวัน ครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 90 ของโลก อีกทั้งปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบไต้หวัน ก็ครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของโลก หากระบบห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขาดช่วง หรือมีการปิดกั้นเส้นทางการเดินเรือในช่องแคบไต้หวัน ทั่วโลกก็พลอยจะได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย นอกจากนี้ ไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่จีนที่ยึดมั่นในลัทธิอำนาจนิยมกลับมุ่งทำลายค่านิยมด้านประชาธิปไตยและวิถีชีวิตรูปแบบประชาธิปไตยของไต้หวันอย่างไม่ปราณี จึงขอให้กลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก เฝ้าจับตาต่อสถานการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิดต่อไป
 
ในวันเดียวกันนี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Courtney Kube ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NBC) โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่ผ่านรายการและเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ NBC เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทั่วโลก
 
รมว.อู๋ฯ ได้แถลงต่อกรณีการซ้อมรบรอบไต้หวันว่า ไต้หวันมุ่งมั่นธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน โดยไม่สร้างความขัดแย้งและไม่ยุยงให้เกิดกรณีพิพาท แต่ในขณะเดียวกัน พวกเราก็ต้องเตรียมการด้านการป้องกันประเทศให้พร้อม เมื่อเผชิญหน้ากับปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการรุกรานของจีน
 
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า จีนไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายว่าไต้หวันจะคบหาสมาคมกับผู้ใด หรือไม่มีสิทธิ์ชี้แนะแนวทางการไปมาหาสู่ระหว่างมิตรสหายนานาประเทศกับไต้หวัน ไต้หวันและมิตรสหายในกลุ่มประเทศประชาธิปไตยมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมาเป็นเวลายาวนาน การที่ Ms. Nancy Pelosi อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หรือ Ms. Markéta Pekarová Adamová ประธานสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐเช็ก เดินทางเยือนไต้หวัน หรือแม้แต่การที่ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)  พบปะพูดคุยกับ Mr. Kevin McCarthy ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในระหว่างการแวะเยือนนครลอสแอนเจลิส ต่างก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาคมโลกให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม
 
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า การข่มขู่ด้วยกำลังทหารของจีนที่มีต่อไต้หวันเป็นเรื่องจริง และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนไต้หวันของสหรัฐฯ นับเป็นปัจจัยสำคัญในการสกัดกั้นการบุกโจมตีไต้หวันของรัฐบาลจีน รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า พวกเราพยายามหลีกเลี่ยงมิให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นระหว่างที่เครื่องบินรบและเรือรบของจีนที่เคลื่อนเข้าประชิดเกาะไต้หวัน และพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือการกระทำใดๆ ที่เป็นการยกระดับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการทหาร เพื่อป้องกันมิให้จีนมีข้ออ้างในการจุดชนวนสงครามกับไต้หวัน พร้อมนี้ รมว.อู๋ฯ ยังเรียกร้องต่อประชาคมโลกว่า ไม่ควรปล่อยให้จีนใช้พฤติกรรมข่มขู่ด้วยกำลังทหารตามอำเภอใจอีกต่อไป
 
นอกจากนี้ ในวันเดียวกันนั้น รมว.อู๋ฯ ยังได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Jerry Dunleavy ผู้สื่อข่าวฝ่ายสอบสวนในกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ของหนังสือพิมพ์ The Washington Examiner ของสหรัฐฯ โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทุกวงการของสหรัฐฯ
 
รมว.อู๋ฯ กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เพื่อสกัดกั้นความเพ้อฝันของจีนที่ต้องการจะเข้าครอบครองไต้หวัน ภายในระยะเวลาอันสั้น การสร้างหลักประกันด้านการป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเองเป็นปัจจัยสำคัญในการสกัดกั้นภัยคุกคามข้างต้น ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงมุ่งมั่นแสวงหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการป้องกันประเทศ  ซึ่งนอกจากไต้หวันจะติดต่อขอซื้อเครื่องบินขับไล่ไอพ่น F-16 แล้ว หน่วยงานด้านกลาโหมของไต้หวันยังได้ร่วมอภิปรายกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในรายการอาวุธที่จำเป็นเพื่อใช้ในการเสริมสร้าง “แผนยุทธศาสตร์ที่ขาดความสมดุล” นอกจากนี้ ไต้หวันยังได้ริเริ่มสร้างเรือรบด้วยตนเอง ซึ่งประสบความราบรื่นในเบื้องต้น
 
รมว.อู๋ฯ ระบุว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติจำหน่ายให้แก่ไต้หวัน ได้จัดส่งตามกำหนดเวลา ซึ่งการซื้อขายสินค้าอาวุธเหล่านี้เป็นหนึ่งในประเด็นเจรจาหลักระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ โดยรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่างรับทราบประเด็นนี้โดยถ้วนหน้า หน่วยงานบริหารสหรัฐฯ ก็ได้ให้คำมั่นต่อไต้หวันว่าจะจัดการปัญหานี้ด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
 
ต่อประเด็นงบประมาณด้านกลาโหมของไต้หวัน รมว.อู๋ฯ ชี้ว่า นับตั้งแต่ปธน.ไช่อิงเหวิน ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันในปี 2016 เป็นต้นมา งบประมาณด้านกลาโหมประจำปี ครองสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 2 ของ GDP แต่ในปัจจุบัน ขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 2.5 หากคำนวณรวมกับงบประมาณพิเศษ จะเห็นว่ามีสัดส่วนเกินร้อยละ 2.5 โดยไต้หวันจะมุ่งมั่นรักษาอัตราส่วนของงบประมาณด้านกลาโหมที่มีต่อ GDP เพื่อสร้างหลักประกันให้ไต้หวันมีกำลังความสามารถในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหมของตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
 
รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า การซ้อมรบของจีนไม่เพียงแต่เป็นการข่มขู่ไต้หวันเท่านั้น ยังเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีตามที่ระบุไว้ใน “กฎบัตรสหรประชาชาติ” อีกด้วย โดยประชาคมโลกควรตระหนักว่า ภัยคุกคามจากจีนไม่ได้มีเฉพาะต่อไต้หวันเท่านั้น ความทะเยอทะยานในการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ ยังครอบคลุมไปสู่ทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ เกิดความตึงเครียด หากไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานไต้หวันด้วยกำลังทหารของจีน ค่านิยมด้านประชาธิปไตยและวิถีชีวิตรูปแบบประชาธิปไตย ก็ไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน