New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 16 ก.พ. 66
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Brent O’Halloran ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ The Sky News Australia ของออสเตรเลียที่ประจำการอยู่ในไต้หวัน โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้ถูกเผยแพร่ ในช่วงข่าวเช้าของวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ภายใต้หัวข้อ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเตือนออสเตรเลียให้เฝ้าระวังพฤติกรรมการแทรกซึมของจีนในมหาสมุทรแปซิฟิก” (Taiwan’s Foreign Minister warns Australia over China's ‘pacific penetration’) ซึ่งได้มีการแพร่ภาพออกอากาศทุก ชั่วโมงหลังรายงานข่าวเช้า ซึ่งได้รับความสนใจจากทุกแวดวงในออสเตรเลียเป็นอย่างมาก
รมว.อู๋ฯ ระบุในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า ไต้หวันถูกข่มขู่ด้วยกำลังทหารจากจีนมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานของจีนในการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิอำนาจนิยม ไม่เพียงจำกัดเฉพาะในไต้หวันเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทะเลจีนตะวันออก ทะเลจีนใต้และทะลวงผ่านพื้นที่ระยะห่วงโซ่ที่ 1 หรือแม้กระทั่งในพื้นที่แถบมหาสมุทรแปซิฟิก อันจะเห็นได้จากเมื่อเดือนเมษายน ปี 2022 จีนกับหมู่เกาะโซโลมอน ได้ร่วมลงนามความตกลงทางความมั่นคงระหว่างกัน ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลออสเตรเลียตระหนักถึงวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นตามมา พร้อมดำเนินมาตรการรับมือที่เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ รมว.อู๋ฯ จึงเรียกร้องให้ประชาคมโลกเฝ้าระวังพฤติกรรมการแทรกซึมจากจีนที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และความทะเยอทะยานเพื่อต้องการก้าวสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจ โดยพวกเราจำเป็นต้องประสานความสามัคคีในการรับมือกับการแผ่ขยายอิทธิพล และการรุกรานของลัทธิอำนาจนิยมในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก และทั่วโลก
ต่อกรณีที่โลกภายนอกต่างคาดเดาว่า จีนอาจโจมตีไต้หวันในปี 2027 นั้น รมว.อู๋ฯ แถลงว่า หลายฝ่ายคาดการณ์สถานการณ์ไปต่างๆ นานา แต่สำหรับไต้หวันแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเสริมสร้างแสนยานุภาพในการป้องกันประเทศของตนเอง เพื่อสกัดกั้นการใช้กำลังอาวุธของรัฐบาลจีน โดยในปี 2027 เป็นปีที่ผู้นำจีนต้องการแสวงหาช่องทางในการอยู่ในวาระตำแหน่งต่อไป และได้ป่าวประกาศต่อโลกภายนอกว่าจะเป็นปีที่พร้อมสำหรับการใช้กำลังอาวุธต่อไต้หวัน พวกเราจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ขณะนี้ จีนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ถดถอย รวมไปถึงวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และนโยบายการควบคุมโรคระบาดที่เข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบให้ประชาชนภายในประเทศเกิดความไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังการที่จีนอาจสร้างสถานการณ์เข้ารุกรานไต้หวัน เพื่อหันเหความสนใจของประชาชนในประเทศ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลไต้หวันจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพื่อมุ่งรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคให้คงอยู่ต่อไป
รมว.อู๋ฯ แถลงว่า เมื่อเผชิญกับการข่มขู่ด้วยกำลังทหารของจีนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการข่มขู่ไต้หวันผ่านการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การแพร่กระจายข่าวปลอม สงครามจิตวิทยาและการโจมตีทางไซเบอร์ เป็นต้น ไต้หวันกำลังเร่งจัดซื้ออาวุธที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันประเทศอย่างกระตือรือร้น พร้อมอัดฉีดงบประมาณทางกลาโหมเพิ่มเติม ผลักดันการปฏิรูปทางการทหาร พัฒนายุทธศาสตร์การทำสงครามไร้สมมาตร และเสริมสร้างกลไกการฝึกอบรมของทหาร เพื่อยับยั้งการโจมตีจากจีน นอกจากนี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้เรียกร้องให้ออสเตรเลียและกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ร่วมสกัดกั้นการรุกรานของจีนที่กระทำต่อไต้หวันด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า การปกป้องไต้หวันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเราโดยตรง โดยประชาชนชาวไต้หวันล้วนมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องประเทศของตนอย่างแน่วแน่ ไต้หวันจะไม่เรียกร้องให้ออสเตรเลียร่วมทำสงครามเพื่อปกป้องไต้หวัน แต่จะขอให้รัฐบาลออสเตรเลียช่วยให้การสนับสนุนไต้หวัน ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมืองและการเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือแบบทวิภาคีผ่านรูปแบบต่างๆ
สำหรับผลกระทบทางความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันอันเนื่องมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีกำหนดการจัดขึ้นในปีหน้านี้ รมว.อู๋ฯ ชี้แจงว่า ไต้หวันก้าวเดินอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตยมาเป็นเวลาหลายสิบปี ตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงในปีค.ศ. 1996 จวบจนปัจจุบัน ไต้หวันได้ก้าวผ่านการถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ 3 ครั้ง การเลือกตั้งเป็นการหนึ่งในกระบวนการทางประชาธิปไตย ที่พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตาม จีนยังคงพยายามเข้าแทรกแซงและเข้าควบคุมการเลือกตั้งในไต้หวัน ด้วยวิธีการต่างๆ ที่สามารถทำได้ ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยของไต้หวัน หากเป็นเช่นนั้น ประชาชนชาวไต้หวันคงไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน รมว.อู๋ฯ จึงขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักถึงพฤติกรรมของจีนที่อาจกระทำการต่อนานาประเทศทั่วโลก ในรูปแบบเดียวกันกับที่กระทำต่อไต้หวัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งของประเทศประชาธิปไตย ให้เป็นไปตามเกมที่จีนวางไว้