New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 5 ธ.ค. 66
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Laureano Izquierdo ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ Infobae ของอาร์เจนตินา โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่ผ่านการตีพิมพ์เป็นบทความบนหน้าหนังสือพิมพ์ในหัวข้อ “ภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ควรเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อกับจีน” ซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้างจากทุกแวดวงในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาสเปน
รมว.อู๋ฯ ชี้ว่า หลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายประเทศเข้าใจผิดว่า การผูกสัมพันธ์กับจีนจะสามารถกระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ แต่ในความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จีนได้อาศัยการติดต่อกับนักการเมืองในทางลับ เพื่อแสวงหาพลังสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงของประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม คำมั่นสัญญาที่จีนให้ไว้จำนวนมาก กลับไม่เคยถูกนำไปปฏิบัติจริงเลย มิหนำซ้ำยังทำให้หลายประเทศต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้านการก่อสร้างและกับดักหนี้สิน เพราะฉะนั้นการไปมาหาสู่กับจีนจึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างรอบคอบ โดยไต้หวันได้หลีกเลี่ยงการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจากจีนที่มากจนเกินไป และมีบทบาทสำคัญในด้านเทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งไต้หวันยินดีร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในด้านความสัมพันธ์กับจีน เพื่อประโยชน์แก่ประชาคมโลก
ต่อกรณีการประชุมหารือระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา รมว.อู๋ฯ ตอบรับว่า ไต้หวันตระหนักถึงความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่เปี่ยมเสถียรภาพเชิงบวกระหว่างสหรัฐฯ – จีน เพื่อลดความตึงเครียดในภูมิภาค หากจีน – ไต้หวันสามารถเปิดการเจรจาอย่างเท่าเทียม ก็จะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความเข้าใจและหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด อันจะเป็นผลดีต่อประชาคมโลกด้วย อย่างไรก็ตาม รมว.อู๋ฯ ได้เน้นย้ำว่า โครงสร้างทางการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ – จีน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ชี้แจงต่อไต้หวันอย่างชัดเจนว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ได้มีการคำนึงถึงผลประโยชน์ของไต้หวันรวมเข้าไว้ในนั้นด้วย พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อแสดงพลังสนับสนุนต่อไต้หวันต่อไป
ในส่วนของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน รมว.อู๋ฯ กล่าวว่า ไต้หวันมีทัศนคติที่เปิดรับต่อการเปิดการเจรจากับจีนเสมอมา และพร้อมเปิดการเจรจากับจีนอย่างเท่าเทียม โดยไร้ซึ่งเงื่อนไขทางการเมือง นับตั้งแต่ปี 2016 ที่ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นต้นมา ก็ได้มีการยื่นข้อเสนอเพื่อเปิดการเจรจากับจีนอย่างสันติมาโดยตลอด แต่จีนกลับยืนกรานในจุดยืนของตน ที่เรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับ “หลักการจีนเดียว” และ “1 ประเทศ 2 ระบบ” เพื่อเป็นเงื่อนไขในการเปิดการเจรจา อีกทั้งยังข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหารต่อไต้หวัน ซึ่งไม่มีความเป็นมิตรต่อพวกเราเลย รมว.อู๋ฯ ยังย้ำว่า ไต้หวันจะยังคงมุ่งรับผิดชอบในหน้าที่การธำรงปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน และรักษาสถานภาพเดิมในช่องแคบไต้หวัน พร้อมเรียกร้องให้จีนร่วมเปิดการเจรจาอย่างสันติ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง ตลอดจนแสวงหาพลังสนับสนุนจากกลุ่มประเทศประชาธิปไตย เพื่อสกัดกั้นการรุกรานจากจีน
รมว.อู๋ฯ ยังชี้อีกว่า ระยะนี้ จีนต้องเผชิญกับปัญหาความท้าทายหลายอย่าง อาทิ การคอร์รัปชันภายในประเทศ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ภาวะล้มละลายของรัฐบาลท้องถิ่น และปัญหาการว่างงานของกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเมื่อปลายเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา ปธน.ไช่ฯ ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า จีนมีปัญหาภายในหลายอย่าง ตามรายงานความคาดการณ์ของไต้หวันและสหรัฐฯ สงครามช่องแคบไต้หวันมิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา และมิใช่ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันและกลุ่มมิตรประเทศจะมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการป้องกันมิให้เกิดสงครามขึ้น
รมว.อู๋ฯ ยังได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่จีนอาจปิดกั้นช่องแคบไต้หวัน โดยชี้ว่า หากจีนเข้าข่มขู่ไต้หวันด้วยการปิดล้อมน่านฟ้าช่องแคบไต้หวัน จะต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากประชาคมโลก เนื่องจากปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบไต้หวันครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 50 ของโลก และแผ่นชิปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตในไต้หวัน ครองส่วนแบ่งตลาดโลกกว่าร้อยละ 60 รวมถึงสัดส่วนของอุปทานของแผ่นชิประดับสูงที่ผลิตในไต้หวัน ก็มีมากกว่าร้อยละ 90 หากระบบห่วงโซ่อุปทานระดับสากลถูกรุกราน นอกจากไต้หวันจะได้รับผลกระทบแล้ว ระบบเศรษฐกิจโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งผลกระทบจะมีความรุนแรงกว่าสงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยประชาคมโลกมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ข้างต้นเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ กลุ่มผู้นำของนานาประเทศจึงได้ทยอยประกาศจุดยืนในแถลงการณ์ร่วมแบบทวิภาคีหรือพหุภาคีว่าด้วยความสำคัญของสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งได้ระบุชัดเจนว่า สันติภาพและเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถขาดได้ในความเจริญรุ่งเรืองของโลก