New Southbound Policy Portal

ปธน.สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เข้าร่วม “พิธีมอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2567”

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 10 พ.ค. 67
 
เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เข้าร่วม “พิธีมอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Press Awards) ประจำปี 2567” โดยปธน.ไช่ฯ ได้กล่าวขอบคุณการรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่กระตุ้นให้ภาคประชาชนเฝ้าจับตาต่อประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมกล่าวว่า ไต้หวันมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมกิจการทางสิทธิมนุษยชนอย่างกระตือรือร้นเสมอมา ในปี 2562 ไต้หวันได้กลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่บัญญัติกฎหมายว่าด้วยการสมรสของบุคคลเพศเดียวกันเข้าสู่ระบบกฎหมาย โดยในปีถัดไป ไต้หวันยังได้ทำการจัดตั้ง “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” เพื่อส่งเสริมกลไกการคุ้มครองและตรวจสอบกิจการทางสิทธิมนุษยชนของไต้หวัน นอกจากนี้ ในปี 2565 ยังได้มีการยื่นเสนอแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก โดยในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ สภาบริหารไต้หวันยังได้มีมติเห็นชอบต่อ “อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ” ซึ่งนับเป็นหลักชัยสำคัญของการพัฒนาสิทธิมนุษยชนในไต้หวัน อันเป็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากความมุ่งมั่นร่วมกันของภาคประชาชนและรัฐบาล
 
ไต้หวันได้รับการประเมินให้เป็นหนึ่งในดินแดนที่สื่อมวลชนมีเสรีภาพมากที่สุดในโลก ซึ่งในปัจจุบัน ไต้หวันได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของสื่อมวลชนระหว่างประเทศแล้ว จำนวนผู้สื่อข่าวนานาชาติที่ประจำการอยู่ในไต้หวัน นับวันยิ่งจำนวนมากยิ่งขึ้นทุกที แสดงให้เห็นว่า ไต้หวันเป็นดินแดนแห่งความโปร่งใส มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสามารถรับชมข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวก โดยปธน.ไช่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นไต้หวันก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางเสรีภาพของสื่อมวลชนแห่งภูมิภาคเอเชีย โดยในอนาคต ไต้หวันจะมุ่งธำรงรักษาประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน พร้อมมุ่งมั่นสรรค์สร้างสังคมที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีต่อไป
 
คำปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษของปธน.ไช่ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ :
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมประกาศมอบรางวัลในครั้งนี้ และขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล Human Rights Press Awards ประจำปีนี้ และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นกิจกรรมจัดขึ้นในไต้หวันเป็นครั้งแรก
 
การเข้าร่วมของทุกท่าน ณ ที่นี้เป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไต้หวันในการธำรงปกป้องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของสื่อมวลชน ตลอดจนเป็นการประกาศให้ประชาคมโลกเห็นว่า ไต้หวันให้ความสำคัญเป็นอย่างมาต่อหลักสำคัญทางประชาธิปไตยเช่นนี้
 
ในยุคสมัยที่อำนาจเผด็จการผงาดตัวขึ้น การคุกคามโดยอำนาจเผด็จการและการเผยแพร่ข่าวปลอม นับวันยิ่งทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทุกคนในที่นี้ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน จึงมีบทบาทสำคัญในการเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเขียนบทความ การถ่ายภาพ วิดีทัศน์ กระจายเสียง หรือโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นพยายามของทุกคน นอกจากจะปลุกพลังความฮึกเหิมให้พวกเราแล้ว ยังเป็นการเรียกร้องให้ประชาคมโลกให้ความสำคัญ และกระตุ้นให้พวกเรานำมาตรการที่เป็นรูปธรรมมาใช้ในการรับมือกับประเด็นสิทธิมนุษยชนที่จำเป็นและเร่งด่วน สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การที่สื่อร่วมเปิดโปงความอยุติธรรม ถือเป็นการนำมาซึ่งความหวังให้แก่ผู้คนที่ทุกท่านรายงานถึง
 
ไต้หวันก้าวผ่านยุคสมัยเผด็จการภายใต้กฎอัยการศึก มาเป็นระยะเวลาเกือบ 40 ปี เราต้องเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมในยุคสมัยเผด็จการ และมีหลายคนที่สละชีวิตของตนเพื่อแสวงหาเสรีภาพด้านสื่อมวลชน
 
เนื่องด้วยความมุ่งมั่นพยายามของพวกเรา ทำให้ไต้หวันกลายเป็นหนึ่งในดินแดนที่มีเสรีภาพทางสื่อมวลชนมากที่สุดในปัจจุบัน “รายงานดัชนีเสรีภาพทั่วโลก” ที่ประกาศโดยองค์กรฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) ในปีนี้ ไต้หวันได้รับ 94 คะแนนจาก 100 คะแนน โดยในเกณฑ์รายการ “เสรีภาพพลเรือน” ไต้หวันคว้าคะแนนเต็มในด้านการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางศาสนา รายงานสื่อของพวกเราได้รับการประเมินว่า “เปี่ยมด้วยเสรีภาพในภาพรวม สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่าง และมุ่งรายงานนโยบายภาครัฐอย่างกระตือรือร้น”
 
จากรายงานดัชนีประชาธิปไตย ปี 2566 ที่ประกาศโดย The Economist Intelligence Unit (EIU) ไต้หวันได้รับการจัดให้อยู่อันดับ 10 ของโลก และครองอันดับ 1 ในเอเชีย นับเป็นหนึ่งใน 24 ประเทศที่ “มีประชาธิปไตยครอบคลุมที่สุด” ส่วน “ดัชนีเสรีภาพสื่อมวลชนโลก” ที่ประกาศโดยองค์การนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders, RWB) ไต้หวันได้รับการจัดให้อยู่อันดับ 27 ของโลก ซึ่งเป็นการขยับสูงขึ้นจากปีที่แล้ว 8 อันดับ
 
ถึงแม้ว่าพวกเราจะได้รับผลสัมฤทธิ์ข้างต้น แต่หลายปีมานี้ ประเทศลัทธิอำนาจนิยมยังคงมุ่งโจมตีเสรีภาพของพวกเราที่ได้มาอย่างยากลำบาก พวกเราพบว่าลัทธิอำนาจนิยมมุ่งที่จะสร้างอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมของสื่อมวลชนของพวกเรา และทุ่มงบประมาณจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อโจมตีด้วยข่าวปลอมในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการใช้ช่องทางการประชาสัมพันธ์ทั้งในและนอกประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตยของไต้หวัน
 
เสรีภาพที่พลเมืองไต้หวันได้รับสิทธิในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สื่อและโซเชียลมีเดีย กำลังถูกนำมาใช้เป็นอาวุธเพื่อกัดกร่อนระบอบประชาธิปไตยของไต้หวัน
 
จากรายงานวิจัย Varieties of Democracy (V-Dem) ของสวีเดน จำนวนการเผยแพร่ข่าวปลอมภายในไต้หวัน มีมากกว่าทุกประเทศทั่วโลกมาเป็นเวลาติดต่อกันต่อเนื่อง 11 ปีแล้ว โดยพฤติกรรมการโจมตีเช่นนี้ มีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การที่พวกเขาต้องการแบ่งแยกสังคมของพวกเรา ส่งเสริมให้พลเรือนเกิดความแตกแยก ลดทอนความเชื่อมั่นของภาคประชาชนที่มีต่อกลไกประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ นอกจากนี้ พวกเขายังได้ประกาศก้องว่า ประชาธิปไตยเป็นข้อกล่าวอ้างที่เป็นไปอย่างไร้แบบแผนและไร้ซึ่งประสิทธิภาพ การโจมตีด้วยข่าวปลอมเช่นนี้ ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอุปสรรคและความท้าทายที่กลุ่มประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าร่วมกันในปัจจุบัน
 
นอกจากนี้ การผงาดขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ว่าจะส่งผลคุณประโยชน์ให้แก่พวกเราก็จริง แต่อีกมุมหนึ่ง ก็เป็นการก่อให้เกิดข่าวปลอมที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง และยิ่งเพิ่มอุปสรรคในการสกัดกั้นข่าวปลอมให้มีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้สิทธิการรับรู้ข้อเท็จจริงที่พวกเราต้องมุ่งปกป้อง มีความสำคัญเพิ่มมากยิ่งขึ้น
 
แนวทางการรับมือกับข่าวปลอมของกลุ่มประเทศประชาธิปไตย มีข้อจำกัด พวกเรากังวลว่า หากสร้างข้อจำกัด ข้อห้ามหรือควบคุมเสรีภาพความเคลื่อนไหวของข้อมูล จะเกิดวิกฤตต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
 
ในไต้หวัน เพื่อรับมือกับการโจมตีของข่าวปลอม พวกเราได้ส่งเสริมให้ทุกแวดวงในสังคมเข้ามีส่วนร่วม ความทันท่วงทีและความโปร่งใสเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถยับยั้งการเผยแพร่ข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับรัฐบาลของไต้หวันจัดงานแถลงข่าวขึ้นเป็นวาระประจำอย่างสม่ำเสมอ และประกาศข่าวที่ถูกต้องเพื่อสร้างความเข้าใจให้ภาคประชาชนอย่างทันท่วงที
 
แม้ไต้หวันจะมิใช่ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ (UN) แต่พวกเราก็มุ่งบัญญัติอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ 6 ฉบับให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายในไต้หวันด้วยตนเอง และได้ประกาศรายงานแห่งชาติเพื่อชี้แจงสถานการณ์การดำเนินงานล่าสุดให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน
 
เนื่องด้วยความมุ่งมั่นพยายามของพวกเราในการธำรงรักษาเสรีภาพ ในปัจจุบัน ไต้หวันได้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของสื่อมวลชนระหว่างประเทศที่สำคัญ หลายปีมานี้ มีผู้สื่อข่าวนานาชาติที่เข้าประจำการในไต้หวัน หรือกลุ่มผู้สื่อข่าวที่เดินทางมารายงานข่าวในไต้หวันเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตราบจนเมื่อเดือนที่ผ่านมา มีสื่อมวลชน 86 รายจาก 22 ประเทศ และผู้สื่อข่าวจำนวน 176 คนที่เข้าประจำการในไต้หวัน เมื่อเทียบกับปี 2559 แล้ว เห็นได้ชดว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว