New Southbound Policy Portal

ปธน.ไล่ฯ ให้การต้อนรับคณะตัวแทนบริษัท Micron Technology

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 12 ก.ค. 67
 
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทนจากบริษัท Micron Technology โดยปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อบริษัท Micron Technology ที่เข้าลงทุนในไต้หวันมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมทั้งยกระดับเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมศักยภาพ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำ DRAM ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนให้ระบบห่วงโซ่อุปทานสอดรับกับการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากในไต้หวันเพิ่มมากขึ้น โดยเห็นว่า ในไต้หวัน นอกจากรัฐบาลจะให้บริการด้วยประสิทธิภาพสูงเพื่อตอบสนองต่อภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังให้ความสำคัญต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ในการสรรสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับชีวิตประจำวันที่เป็นมิตรต่อบุคลากรชาวต่างชาติ จึงหวังว่า Micron Technology จะเพิ่มศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาในไต้หวัน ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตลอดจนประสานความร่วมมือกับหุ้นส่วนในระบบห่วงโซ่อุปทานของไต้หวัน เพื่อแสวงหาโอกาสธุรกิจ AI ร่วมกันต่อไป
 
ในช่วงแรก ปธน.ไล่ฯ ได้กล่าวต้อนรับการเดินทางมาเยือนของคณะตัวแทน ที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจและความสนับสนุนที่มีต่อไต้หวัน ในโลกแห่งอนาคต เราจะได้เห็นเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในทุกหนแห่ง อีกทั้งกระแสเทคโนโลยี AI ก็โหมกระหน่ำจากทุกทิศทุกทาง ภายใต้แนวโน้มเช่นนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Micron ซึ่งเป็นบริษัทแนวหน้าของโลก จะมีบทบาทสำคัญที่ไม่สามารถขาดไปได้
 
ปธน.ไล่ฯ แสดงความขอบคุณต่อ Micron ที่มุ่งมั่นยกระดับเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำ DRAM อย่างต่อเนื่อง เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่โรงงานของ Micron แห่งที่ 4 ในนครไทจงได้เปิดเดินเครื่องแล้ว ถือเป็นการเปิดตัวการผลิต DRAM ในปริมาณมากด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมระบบห่วงโซ่อุปทานที่ใช้วัตถุดิบซึ่งผลิตในท้องถิ่น และด้วยความสนับสนุนจาก Micron ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน สามารถก้าวขึ้นครองบทบาทที่สำคัญในระดับโลก ในอนาคต รัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างต่อเนื่อง และจะมุ่งสรรสร้างให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็น “อาณาจักรแห่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ต่อไป
 
ปธน.ไล่ฯ กล่าวอีกว่า ในไต้หวัน นอกจากรัฐบาลจะให้บริการด้วยประสิทธิภาพสูงเพื่อตอบสนองต่อภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังให้ความสำคัญต่อความต้องการของภาคธุรกิจด้วย อันจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลเข้าตรวจสอบอุปสงค์ – อุปทานด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างหลักประกันในการจ่ายไฟที่มีเสถียรภาพ นอกจากนี้ ยังได้ผ่อนคลายข้อบังคับทางกฎหมาย ควบคู่ไปกับการผลักดันหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากรที่เปี่ยมด้วยความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงการดึงดูดบุคลากรนานาชาติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจด้วย