New Southbound Policy Portal

รมว.กต.ไต้หวันตอบรับคำเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมด้านการวิจัยในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ประจำปี 2568 (2025 ILA-ASIL Asia-Pacific Research Forum) โดยเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรด้านประชาธิปไตยโลก ร่วมรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 8 ก.ค. 68
 
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวปราศรัยในพิธีเปิดการประชุมด้านการวิจัยในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ประจำปี 2568 ที่ร่วมจัดโดยสมาคมกฎหมายระหว่างประเทศ (ILA) สมาคมกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ (ASIL) (2025 ILA-ASIL Asia-Pacific Research Forum) โดยการประชุมในครั้งนี้สามารถดึงดูดนักวิชาการสำคัญระดับนานาชาติ จำนวน 50 กว่าคน จาก 20 กว่าประเทศ เดินทางมาเข้าร่วม
 
รมว.หลินฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า กต.ไต้หวันมุ่งผลักดันนโยบาย “การทูตเชิงบูรณาการ” ที่ตั้งมั่นอยู่บนรากฐานค่านิยมด้านเสรีภาพ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เพื่อมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันในเชิงลึก ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้ข้อได้เปรียบทางการทูตอย่างกระตือรือร้น เพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีทางการทูต และรุกขยายขอบเขตกลุ่มพันธมิตรไต้หวัน ผนวกเข้ากับศักยภาพของภาครัฐและภาคเอกชน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นไต้หวัน ยังคงสวมบทบาทเป็น “ไต้หวันของประชาคมโลก” เมื่อเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันที่มีความผันผวนที่รุนแรง การเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายขีดสุด โดยเฉพาะหลายปีมานี้ จีนได้สร้างความท้าทายอย่างไม่สิ้นสุดต่อ “ความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานกฎกติกาสากล” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบ่อนทำลายค่านิยมด้านประชาธิปไตย หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยนชน เสรีภาพและการค้าที่เป็นธรรม ซึ่งสร้างความตระหนักรู้ด้านวิกฤตให้แก่นานาประเทศทั่วโลก และมีหลายประเทศที่ยินดีให้ความช่วยเหลือไต้หวัน ด้วยการแล่นเรือรบผ่านช่องแคบไต้หวัน เพื่อการลาดตระเวณ พร้อมทั้งแสดงจุดยืนย้ำชัดว่า ช่องแคบไต้หวันเป็นน่านน้ำสากล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อความมั่นคงในระดับภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก
 
นอกจากนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับพฤติกรรมการขัดขวางมิให้ไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในเวทีนานาชาติของจีน ที่เห็นได้จากการบัญญัติ “กฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการแบ่งแยกดินแดน” (Anti-Secession Law) ในปี 2548 และการกำหนด “ญัตติว่าด้วยบทลงโทษการแบ่งแยกดินแดนไต้หวัน 22 ข้อ” ในปี 2567 รวมถึงการจงใจบิดเบือนญัตติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ฉบับที่ 2758 และอาศัยญัตติ 2758 มาใช้เป็นอาวุธโจมตีไต้หวัน และใช้เป็นเครื่องมือในการขัดขวาง มิให้ไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมบนเวทีนานาชาติ ตลอดจนกล่าวอ้างว่า “ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน” และ “ช่องแคบไต้หวันเป็นน่านน้ำภายในของจีน” ซึ่งคำกล่าวอ้างเหล่านี้ ล้วนขัดต่อข้อเท็จจริงและค่านิยมทางประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
 
ต่อประเด็นข้อพิพาทของญัตติ 2758  เราสามารถเล็งเห็นว่า เมื่อปีที่แล้ว รัฐสภากลุ่มพันธมิตรจีนแห่งรัฐสภาข้ามชาติ (Inter-Parliamentary Alliance on China, IPAC) รวมถึงรัฐสภาออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ รัฐสภายุโรป อังกฤษและเช็ก ต่างทยอยลงมติเห็นชอบในญัตติว่าด้วยการต่อต้านการตีความญัตติ 2758 ในทิศทางที่ขัดต่อข้อเท็จจริงของจีน โดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงของสหรัฐฯ ก็ได้แสดงจุดยืนในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน จึงทำให้ประชาคมโลกเกิดความเข้าใจต่อญัตติ 2758 และตระหนักเข้าใจว่าญัตติข้างต้น มิได้มีการระบุถึง หรือกีดกันไต้หวันมิให้เข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศแต่อย่างใด
 
รมว.หลินฯ ได้ย้อนพิจารณาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ พร้อมระบุว่า หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การลงนาม“สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก” (Treaty of San Francisco) ได้ถูกนำมาแทนที่แถลงการณ์ทางการเมืองอย่าง “ปฏิญญาไคโร” (Cairo Declaration) และ “ปฏิญญาพ็อทซ์ดัม” (Potsdam Declaration) โดยระบุชัดว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่เคยเข้าปกครองไต้หวันเลยสักวัน นับตั้งแต่ช่วงกลางในยุคสมัย ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา ไต้หวันได้มุ่งผลักดันการเมืองรูปแบบประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพ ตั้งแต่ล่างขึ้นบน และได้มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงขึ้นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1996 รวมถึงเจ้าหน้าที่สภาบริหารและสภานิติบัญญัติ ที่สังกัดในรัฐบาลกลาง ก็ได้รับการเลือกตั้งขึ้นโดยตรงจากภาคประชาชนเช่นเดียวกัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ระบบการเมืองในไต้หวันก็ได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย และเป็นรัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นตัวแทนภาคประชาชน ตามหลักนิตินัยของไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และมิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หลังจากนั้น ไต้หวันก็ได้มีการถ่ายโอนอำนาจการบริหารประเทศรวม 3 ครั้ง แต่ยังคงวิสัยทัศน์ร่วมกัน นั่นคือการธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและความเป็นเอกภาพของไต้หวัน ตลอดจนยสะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงและการแสวงหาเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างมุ่งมั่นของภาคประชาชน
 
รมว.หลินฯ ชี้แจงว่า เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ และภัยคุกคามที่เกิดจากการแผ่ขยายอิทธิพลของอำนาจเผด็จการ ปธน.ไล่ฯ จึงได้ยื่นเสนอ “กลยุทธ์การรับมือด้านความมั่นคงแห่งชาติ 17 รายการ” เพื่อชี้แจงให้ประชาคมโลกมองเห็นความทะเยอทะยานที่ชัดแจ้งของจีน และส่งเสริมให้ประชาคมโลกตระหนักทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ไต้หวันมิได้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการชี้โพรงให้จีนแพ้ภัยตนเอง ที่เกิดจากการกำหนด “กรอบความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน” ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันที่ประชาธิปไตยและจีนที่เป็นเผด็จการ ยกระดับสู่ประเด็นที่ทั่วโลกต้องร่วมเผชิญหน้า มิใช่แค่เพียงปัญหาในระดับภูมิภาค
 
รมว.หลินฯ เน้นย้ำว่า ยิ่งไต้หวันมั่นคงมากเท่าไหร่ โลกก็จะยิ่งเกิดความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไต้หวันมีความแกร่งกล้ายืดหยุ่นมากขึ้น แนวป้องกันประชาธิปไตยโลกก็จะยิ่งมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น ไต้หวันในปัจจุบันเป็นไต้หวันของโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นพันธมิตรด้านประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นพลังแห่งความดีของประชาคมโลกอีกด้วย หลังจากนี้ พวกเราจะยังคงมุ่งธำรงปกป้องประเทศจากอิทธิพลอำนาจเผด็จการอย่างแข็งขัน ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันในการรักษาค่านิยมสากล ทั้งนี้ เพื่อคงไว้ซึ่งพื้นที่ภูมิภาคที่มีสันติภาพ ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง