New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดีและสภาบริหาร วันที่ 10 ก.ค. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 รองประธานาธิบดีเซียวเหม่ยฉิน ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทน “สภาหอการค้าไต้หวันแห่งโลก” สมัยที่ 31 ที่เพิ่งเดินทางกลับสู่ประเทศมาตุภูมิ เมื่อไม่นานมานี้ โดยรองปธน.เซียวฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อบรรดาผู้ประกอบการไต้หวัน ที่ร่วมสร้างคุณูปการให้ไต้หวันในเวทีประชาคมโลก พร้อมสวมบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงไต้หวันให้ก้าวสู่เวทีประชาคมโลก พร้อมกันนี้ รองปธน.เซียวฯ ยังได้แสดงความคาดหวังที่จะเห็นกลุ่มผู้ประกอบการ ผนึกกำลังสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ในการยกระดับการมองเห็นไต้หวันในโลกนานาชาติ และร่วมบูรณาการศักยภาพทางความมั่นคงและเศรษฐกิจของไต้หวันในทุกพื้นที่ทั่วโลก ให้หลอมรวมเป็นหนึ่ง
ท่ามกลางสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่เต็มไปความท้าทายที่ซับซ้อน ทั้งสถานการณ์โรคโควิด – 19 ,สงครามรัสเซีย - ยูเครน , สงครามอิสราเอล - ฮามาส และสงครามอินเดีย – ปากีสถาน เนื่องด้วยไต้หวันตั้งอยู่ในพื้นที่ภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ที่มักจะได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามด้วยการข่มขู่ทางกำลังทหารและด้วยกลยุทธ์พื้นที่สีเทาจากจีน จึงจำเป็นต้องเร่งยกระดับแสนยานุภาพในการปกป้องประเทศ ทั้งนี้ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
รองปธน.เซียวฯ กล่าวว่า นอกจากผลกระทบที่เกิดจากการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ไต้หวันยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจอีกมากมาย อาทิ มาตรการภาษีศุลกากรรูปแบบใหม่ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ต่อประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไต้หวันจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันยึดมั่นในจุดยืนว่าด้วยการจัดตั้งเป็นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ – การค้า ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ ที่เอื้อประโยชน์แก่กัน ควบคู่ไปกับการคุ้มครองภาคอุตสาหกรรมไต้หวัน
รองปธน.เซียวฯ แถลงว่า เทคโนโลยีถือเป็นพลังสำคัญที่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของโลก และเป็นรากฐานของการพัฒนาทุกสรรพสิ่งของมวลมนุษยชาติ
ในกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมของไต้หวันในระดับโลก จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน แผนการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาประสบการณ์และกระบวนการผลิตจากไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงจะมุ่งผลักดันการเจรจากับทุกแวดวงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะรักษาสถานภาพที่สำคัญบนเวทีโลกให้คงอยู่ต่อไป
ในวันเดียวกันนี้ นายจั๋วหรงไท่ นายกรัฐมนตรีไต้หวัน ก็ได้ให้การต้อนรับคณะตัวแทน WTCC สมัยที่ 31 โดยนรม.จั๋วฯ ระบุว่า ผู้ประกอบการไต้หวันเป็นสะพานและช่องทางสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและชาวไต้หวันที่พำนักในพื้นที่นั้นๆ ทั้งประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน และนรม.จั๋วฯ ต่างให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของผู้ประกอบการชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก นรม.จั๋วฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลนอกจากจะผลักดัน “อุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการ” ยังได้มุ่งพัฒนา “อากาศยานไร้คนขับ” และ “หุ่นยนต์อัจฉริยะ” ควบคู่ไปด้วย อีกทั้งยังได้ยื่นเสนอ “แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบ AI รวม 10 รายการหลัก” ซึ่งครอบคลุมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ การประยุกต์ใช้เชิงอัจฉริยะ เทคโนโลยีสำคัญและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
ในโอกาสนี้ นรม.จั๋วฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อบรรดาผู้ประกอบการไต้หวันทั่วโลก ที่มุ่งมั่นจัดกิจกรรม “Taiwan Day” และ “Taiwan Festival” ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก อาทิ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา “หอการค้าไต้หวันในฝรั่งเศส” (French Taiwanese Chamber of Commerce, FTCC) ได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง “Taiwan Day” ขึ้น นอกจากนี้ นายเฉินอู่ฝู คณะกรรมการกิจการชาวจีนโพ้นทะเล ที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งดำรงตำแหน่งหน้าที่เป็น “ประธานคณะกรรมการร่วมของสมาคมหอการค้าเอเชียไต้หวัน (Asia Taiwanese Chambers of Commerce, ASTCC)” ก็ได้ผนึกกำลังของผู้ประกอบการไต้หวันในกรุงโตเกียว ร่วมจัดกิจกรรม “เทศกาลไต้หวันในโตเกียวทาวเวอร์ ภายใต้ชื่อ TAIWAN FESTA” ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากภาคประชาชนชาวญี่ปุ่นและชาวไต้หวันที่พำนักในพื้นที่ อีกทั้งในช่วงหลายปีมานี้ หอการค้าไต้หวันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของสหรัฐฯ ต่างก็ได้ประสานความร่วมมือกับเมเจอร์ลีกเบสบอล (Major League Baseball, MLB) โดยได้มีการจัดกิจกรรม “Taiwan Day” ขึ้น ณ สมาคมกรีฑาแห่งเมเจอร์ลีกเบสบอล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและกีฬาเบสบอลของไต้หวัน
นรม.จั๋วฯ ระบุว่า ระยะที่ผ่านมานี้ รัฐบาลไต้หวันมุ่งผลักดัน “อุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ 5 รายการ” ประกอบด้วย เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การควบคุมด้านความมั่นคง และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน ประกอบกับไต้หวันยังมีศักยภาพการผลิตที่ทันสมัยในระดับสากล และโครงสร้างทางการเมืองและการคลังแห่งชาติที่มั่นคง จากข้อได้เปรียบดังกล่าวข้างต้นนี้ นอกจากจะสามารถส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายภายในประเทศ เข้าร่วมลงทุนวิจัยและพัฒนาในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังสามารถดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลยังคาดหวังที่จะเห็นผู้ประกอบการไต้หวัน ตั้งมั่นรากฐานที่มั่นคงในไต้หวัน ตามรูปแบบ “ไต้หวัน+1” พร้อมขยายรากฐานไปสู่ประชาคมโลก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพิชิตเป้าหมาย “การผลักดันการวางรากฐานในไต้หวัน แผ่ขยายไปสู่ประชาคมโลก พร้อมกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ” ที่ยื่นเสนอโดยปธน.ไล่ฯ นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะมุ่งพัฒนา “อากาศยานไร้คนขับ” และ “หุ่นยนต์อัจฉริยะ” ควบคู่ไปพร้อมกัน เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศทั่ตั้งอยู่ในแนวหน้าการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ มีศักยภาพที่สามารถปกป้องความมั่นคงในประเทศด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้าง “ระบบห่วงโซ่อุปทานประชาธิปไตย” สำหรับกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยโลก นอกเหนือจากการพึ่งพา “ระบบห่วงโซ่อุปทานสีแดง”
นรม.จั๋วฯ ระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจะมุ่งหน้าผลักดัน “แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบ AI รวม 10 รายการหลัก” ที่ประกอบด้วย การประยุกต์ใช้เชิงอัจฉริยะ เทคโนโลยีสำคัญและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นทิศทางการพัฒนาในอนาคตของมวลมนุษยชาติ ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของภาคประชาชนในอนาคต นอกจากจะเป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างไต้หวันและประชาคมโลกแล้ว ยังสามารถคว้าโอกาสในการพัฒนา AI เพื่อก้าวสู่บทบาทผู้นำโลกต่อไป โดยนรม.จั๋วฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากที่แผนปฏิบัติการข้างต้นได้รับการผลักดันแล้ว ภาคประชาชนชาวไต้หวันทั้งในและต่างประเทศ จะร่วมผนึกกำลังในการนำบุคลากร เทคโนโลยี เงินทุน ไหลเวียนกลับเข้าสู่ภายในประเทศ เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศชาติ
นรม.จั๋วฯ แถลงว่า เพื่อรับมือกับมาตรการภาษีศุลกากรรูปแบบใหม่ของสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของสถานการณ์ระหว่างประเทศในภาพรวม สภาบริหารจึงได้ยื่นเสนอ “กฎข้อบังคับพิเศษเกี่ยวกับการเสริมสร้างความทรหดด้านความมั่นคง” ด้วยการจัดสรรงบประมาณพิเศษ จำนวน 410,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งขณะนี้ ได้ยื่นส่งให้สภานิติบัญญัติพิจารณาลงมติเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม หากไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ รัฐบาลก็จะเบิกใช้งบประมาณคงเหลือจากปีที่แล้ว ในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ภาคพลเรือนและความยืดหยุ่นด้านความมั่นคงของประเทศชาติ เพื่อพยุงให้ส่วนรวมก้าวผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างราบรื่น
ต่อประเด็นการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) นรม.จั๋วฯ ระบุว่า หากอ้างอิงจากศักยภาพทางเทคโนโลยี รวมถึงศักยภาพทางการเมืองและการคลังแห่งชาติของไต้หวันในปัจจุบัน รัฐบาลมีโอกาสเปิดการอภิปรายแนวทางการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ รวมไปถึงการกำหนดขอบเขต แหล่งที่มาทางการเงิน และแนวทางการบริหารจัดการ เป็นต้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาในทิศทางที่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทุกอย่างยังอยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้น โดยรัฐบาลจะอ้างอิงตามประสบการณ์ของประเทศต้นแบบ อย่างนอร์เวย์ สิงคโปร์และเกาหลีใต้ มาทำการประยุกต์ใช้
หลังจากนั้น นายอู๋กวงอี๋ ประธาน WTCC กล่าวปราศรัยว่า WTCC สวมบทบาทเป็นสะพานเชื่อมโยงการประสานติดต่อและความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไต้หวันในทุกพื้นที่ทั่วโลกเสมอมา พร้อมหวังที่จะจับมือกับภาครัฐในการมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พลังงานสีเขียว และการผลิตอัจฉริยะในภายภาคหน้าต่อไป นอกจากนี้ WTCC ยังมีพันธกิจในการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปสู่ทุกพื้นที่ทั่วโลกที่มีความต้องการ โดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ประจำการในเขตพื้นที่นั้นๆ และชุมชนได้ร่วมสร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่น เพื่อยกระดับการมองเห็นของไต้หวันในประชาคมโลก ควบคู่ไปกับการจัดเวทีการบรรยายและสัมมนา เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อสภาพแวดล้อมทางการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไต้หวัน ในช่วงท้าย ปธ.อู๋ฯ กล่าวว่า ไต้หวันอยู่ระหว่างการก้าวเข้าสู่ทิศทางอนาคตที่ยั่งยืนและการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง โดย WTCC พร้อมทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำคัญของการแลกเปลี่ยนระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนของไต้หวัน ให้เกิดประสิทธิภาพที่ยั่งยืนต่อไป