New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 1 ส.ค. 68
ระยะที่ผ่านมา นายอู๋จื้อจง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen-Ann Smith ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว Sky News แห่งอังกฤษที่เข้าประจำการในทวีปเอเชีย เนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่ผ่านรายการข่าวในหัวข้อ “รายงานพิเศษ : ไต้หวันเตรียมพร้อมหรือยัง สำหรับการรับมือกับภัยคุกคามจากจีน?” ซึ่งได้รับการเฝ้าจับตาอย่างล้นหลามจากประชาคมโลก โดยระหว่างการสัมภาษณ์ รมช.อู๋ฯ กล่าวว่า ขณะนี้ รัฐบาลจีนกำลังเตรียมความพร้อมในการบุกโจมตีไต้หวันอย่างขมักเขม้น อย่างไรก็ตาม การคงอยู่ของไต้หวัน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของประเทศชาติของตนเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวพันกับเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองระดับสากลอย่างไม่สามารถขาดได้
รมช.อู๋ฯ กล่าวว่า จีนมุ่งสร้างแรงกดดันต่อไต้หวันด้วยวิธีการต่างๆ เสมอมา ซึ่งหนึ่งในวิธีการนั้นๆ การบีบให้ไต้หวันจนมุม และต้องการจะเห็นไต้หวันเป็นฝ่ายเริ่มตอบโต้ก่อน เพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีไต้หวันด้วยกำลังทหาร อย่างไรก็ตาม รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวันจะไม่มีทางตกหลุมพรางอย่างแน่นอน หากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ทางทหารจากจีน พวกเราก็จำเป็นต้องเฝ้าระแวดระวังอย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น
ต่อประเด็นที่ว่า หากจีนบุกโจมตีไต้หวัน จะส่งผลกระทบต่อด้านใดบ้างนั้น รมช.อู๋ฯ เผยว่า พฤติกรรมของจีนไม่เพียงแต่จะเป็นการโจมตีไต้หวันให้สิ้นซากเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้ “โลกสมัยใหม่” ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ต้องล่มสลายลง รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีโลกจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยแผ่นชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตโดยไต้หวัน หากวันใดที่ไต้หวันถูกโจมตี อาจส่งผลให้ระบบห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงักลงได้ ซึ่งจะก่อเกิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่อทั่วโลกอย่างมิสามารถประเมินค่าได้ ด้วยเหตุนี้ การสกัดกั้นพฤติกรรมการรุกรานไต้หวันของจีน จึงได้กลายเป็นความรับผิดชอบและผลประโยชน์ส่วนรวมของพันธมิตรประชาธิปไตยทั่วโลกในปัจจุบัน
ต่อกรณีความสัมพันธ์ไต้หวัน - สหรัฐฯ รมช.อู๋ฯ ระบุว่า เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากจีนขั้นรุนแรง ไต้หวันไม่สามารถพึ่งพาศักยภาพของตนในการรับมือเพียงลำพัง มีเพียงการประสานความร่วมมือกับโลกนานาชาติ จึงจะสามารถสร้างหลักประกันทางความมั่นคงได้
รมช.อู๋ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีมติอนุมัติจำหน่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ไต้หวันเป็นวาระประจำสม่ำเสมอ ตาม “กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน” อีกทั้งยังช่วยสอดส่องตรวจตราความเรียบร้อยในพื้นที่รายรอบช่องแคบไต้หวัน เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค นอกจากนี้ รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปลุกความยิ่งใหญ่ให้สหรัฐฯ อีกครั้ง” ที่ยื่นเสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ หากไร้ซึ่งการพึ่งพาอาศัยห่วงโซ่แผ่นชิปจากไต้หวัน ศักยภาพทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยากที่จะบรรลุผลตามปรารถนาได้
ระยะเวลาของการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ มีความยาวทั้งสิ้นรวม 26 นาที โดยรมช.อู๋ฯ ได้วิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมล่าสุดในช่องแคบไต้หวันจากหลากหลายแง่มุม ทั้งในด้านกลาโหม อุตสาหกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอัตลักษณ์ทางสังคม รายงานระบุว่า สังคมไต้หวันนับวันยิ่งมีความตื่นตัวมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากจีน ซึ่งรัฐบาลไต้หวันก็มุ่งผลักดันการพัฒนาทางกลาโหมให้เกิดความทันสมัยควบคู่ไปพร้อมกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการสกัดกั้นในภาพรวม นอกจากนี้ รายงานข่าวยังเน้นย้ำว่า ในฐานะที่ไต้หวันเป็นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เสถียรภาพทางความมั่นคงจึงมีความสำคัญต่อการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์และระบบเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในเชิงลึก ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ อีกด้วย