New Southbound Policy Portal

รมช.กต.ไต้หวันให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวนสพ. The Telegraph ของอังกฤษ โดยชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ของระบอบการปกครองด้วยอำนาจเผด็จการของปธน.สีจิ้นผิง พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมสกัดกั้นความทะเยอทะยานจากจีนอย่างสามัคคี

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 9 ส.ค. 68
 
เมื่อช่วงที่ผ่านมา นายอู๋จื้อจง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Allegra Mendelson ผู้สื่อข่าวระดับอาวุโสที่ประจำการในภูมิภาคเอเชียของ “หนังสือพิมพ์ The Telegraph” แห่งอังกฤษ โดยนสพ.ฉบับข้างต้นได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 โดยรมช.อู๋ฯ กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนก่อเกิดเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงในระดับภูมิภาค ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการบริหารปกครองประเทศแบบรวมศูนย์ และมีความเป็นเผด็จการมากยิ่งขึ้น ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำจีน พร้อมกันนี้ รมช.อู๋ฯ ยังได้เน้นย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจและความยืดหยุ่นของไต้หวันในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสมควรได้รับการให้ความสำคัญและการให้การสนับสนุนจากประชาคมโลก
 
ต่อประเด็นที่ลัทธิอำนาจการปกครองเปลี่ยนผ่านจาก “แนวคิดการนำร่วม” มาสู่การผูกขาดอำนาจโดยผู้นำประเทศเพียงผู้เดียว รมช.อู๋ฯ ได้หยิบยกรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ People's Daily ที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2540 – 2565 พร้อมระบุว่า ผู้นำในยุคสมัยที่ผ่านมา ทั้งนายเจียงเจ๋อหมินและนายหูจิ่นเทา ต่างก็มักจะปรากฎตัวร่วมกับเหล่าบรรดาคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา หากแต่หลังจากที่ปธน.สีฯ เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศในปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เรามักจะเห็นแต่ปธน.สีฯ ที่เผยโฉมอย่างโดดเด่นเพียงผู้เดียวในรายงานข่าวแทบจะทั้งหมด เปรียบเสมือน “ลัทธิบูชาบุคคล” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini)
 
สำหรับการโจมตีไต้หวันของจีนด้วย “กลยุทธ์พื้นที่สีเทา” ทั้งการโจมตีทางไซเบอร์ การแทรกซึมของข่าวปลอม และการก่อกวนทางน่านน้ำทะเลและน่านฟ้า รมช.อู๋ฯ ระบุว่า “สิ่งที่น่ากังวลใจที่สุด มิใช่การรุกรานด้วยกำลังทหารจากจีน แต่เป็นวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะสร้างความแตกแยกในสังคมไต้หวัน” โดยรมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า การรุกรานไต้หวันผ่านสงครามจิตวิทยา และการแทรกซึมกระบวนการทางความคิด นับวันยิ่งทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบ่อนทำลายความยืดหยุ่นทางประชาธิปไตยของสังคมไต้หวัน
 
ประเด็นความท้าทายในสถานการณ์ระหว่างประเทศของไต้หวัน รมช.อู๋ฯ ชี้แจงว่า ไต้หวันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถสานสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับหลายประเทศทั่วโลกได้ พวกเราตระหนักดีว่า มีหลายประเทศคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากจีน จึงมิกล้าที่จะให้การยอมรับต่อไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติมาสู่แนวทางการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการยั่วยุให้จีนเกิดความไม่พอใจ ขณะเดียวกัน ก็มุ่งมั่นรุกขยายความร่วมมือและการเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ ในสถานภาพที่ไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ เมื่อระบุถึงมาตรการ "ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์" ที่รัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ ประกาศใช้ต่อไต้หวัน รมช.อู๋ฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ ถือเป็นหุ้นส่วนทางความร่วมมือที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน ซึ่งกลยุทธ์ของไต้หวันคือการสร้างผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องสืบไป
 
สำหรับงบประมาณทางกลาโหม รมช.อู๋ฯ แถลงว่า ไต้หวันมีเจตนารมณ์แกร่งกล้า ในการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง โดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้ให้คำมั่นว่าจะจัดสรรให้งบประมาณทางกลาโหมของปี 2569 เพิ่มสูงขึ้นในสัดส่วนร้อยละ 3 ของ GDP ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป นอกจากนี้ รมช.อู๋ฯ ยังเน้นย้ำว่า ไต้หวันยังคงติดต่อขอซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เป็นหลักและยังคงมุ่งสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ระหว่างไต้หวัน – สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องต่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
 
เมื่อเผชิญหน้ากับการข่มขู่ด้วยกำลังทหารที่จีนอาจกระทำต่อไต้หวัน รมช.อู๋ฯ ได้ชูเสนอ มาตรการ “Not Today” โดยหวังที่จะทำให้จีนตระหนักว่า “วันนี้มิใช่วันที่จะบุกไต้หวัน” ด้วยการมุ่งยกระดับศักยภาพการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติ ท้ายนี้ รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า “พวกเราต้องสกัดกั้นมิให้ภาพจินตนาการของปธน.สีฯ เกิดขึ้นได้จริง มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดหายนะต่อมวลมนุษยชาติ”