New Southbound Policy Portal

รองนรม.ไต้หวันย้ำ ไต้หวันจะเร่งเปิดการเจรจา เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตราภาษีที่เหมาะสมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ภาครัฐของไต้หวันก็จะมุ่งเจรจา เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ด้วยการไม่บวกเพิ่มจากอัตราภาษีเดิม

สภาบริหาร วันที่ 11 ส.ค. 68
 
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 นางเติ้งลี่จวิน รองนายกรัฐมนตรีไต้หวันได้จัดการประชุมแถลงข่าวชี้แจงมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และแผนการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม โดยระบุว่า ที่ผ่านมา ไต้หวัน - สหรัฐฯ ได้จัดการเจรจาต่อรองร่วมกันเป็นจำนวน 4 ครั้ง และได้จัดการเสวนาผ่านช่องทางออนไลน์แล้วกว่า 10 ครั้ง ความคืบหน้าในปัจจุบัน คือไต้หวันถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าในสัดส่วนร้อยละ 20% อย่างไรก็ตาม ในการเจรจาขั้นถัดไป จะต้องมุ่งสู่อัตราภาษีที่เหมาะสมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการเปิดอภิปรายกันในประเด็นมาตรา 232 ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ภาครัฐของไต้หวันก็จะมุ่งมั่นเปิดการเจรจา เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ด้วยการไม่บวกเพิ่มจากอัตราภาษีเดิม ในอนาคต หลังจากที่ได้บรรลุฉันทามติร่วมกับสหรัฐฯ แล้ว สภาบริหารจะชี้แจงสาระสำคัญให้ที่ประชุมสภาและภาคประชาสังคม ร่วมรับทราบโดยทั่วกัน พร้อมทั้งจะยื่นเสนอรายงานการประเมินผลกระทบ เพื่อยื่นส่งญัตติให้สภาทำการพิจารณาต่อไป
 
รองนรม.เติ้งฯ กล่าวว่า อัตราภาษีล่าสุดที่สหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับประเทศคู่ค้า มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไป หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายร่วมเจรจาหารือกันมาเป็นระยะเวลาหลายเดือนอย่างต่อเนื่อง อัตราภาษีที่เดิมสหรัฐฯ กำหนดต่อไต้หวันที่ 32% ลดลงเหลือ 20% ถึงแม้จะมิใช่เป้าหมายที่ไต้หวันคาดหวังไว้ แต่การเจรจาระหว่างสองฝ่ายจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งล่าสุด ทั้งสองฝ่ายได้เปิดการเจรจาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ติดต่อกันในวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 68
 
รองนรม.เติ้งฯ ระบุว่า ตราบจนปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายยังมิได้จัดการประชุมสรุปผลแต่อย่างใด ทั้งนี้ เป็นผลอันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านเวลา หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ ต้องหารือกลุ่มประเทศคู่ค้าทั่วโลก ประกอบกับไต้หวันอยู่ในอันดับ 6 ของโลกที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามากที่สุด เฉพาะในปีที่แล้ว (พ.ศ. 2567) ยอดขาดดุลทางการค้าอยู่ที่ 73,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้ กว่าร้อยละ 90 มาจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ สินค้าประเภทสารสนเทศและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีส่วนเกี่ยวโยงกับการตรวจสอบมาตรการ ภายใต้ “มาตรา 232” ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ซึ่งมีความซับซ้อนขั้นสูง “มาตรการทางภาษีตอบโต้” และ “มาตรา 232” มีความทับซ้อนกันอยู่หลายส่วนสำหรับสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต้องการเวลาสำหรับการเจรจากันในประเด็นที่เกี่ยวข้อง และความร่วมมือด้านระบบห่วงโซ่อุปทาน
 
สำหรับสถานการณ์การเจรจาตลอดช่วงที่ผ่านมา รองนรม.เติ้งฯ เน้นย้ำว่า “ไม่มีการเจราตามหลักทฤษฎีกล่องดำแต่อย่างใด” ธรรมเนียมปฏิบัติของการเจรจาทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ หากยังไม่มีบทสรุปที่แน่ชัดในทุกรายละเอียด จะยังคงไม่สามารถทำการชี้แจงต่อสาธารณชนได้ นอกจากนี้ หลายประเทศทั่วโลกที่ร่วมเจรจากับสหรัฐฯ ยังต้องลงนามข้อตกลงว่าด้วยการรักษาความลับของข้อมูลการเจรจาอย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงไต้หวันด้วย
 
รองนรม.เติ้งฯ กล่าวว่า ในระหว่างการเจรจาระหว่างกัน ไต้หวันมักจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ฝ่ายสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการเปิดตลาดเต็มรูปแบบ อีกทั้งในส่วนของมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ ได้เฝ้าจับตาต่อมาตรการ NTB ที่ไต้หวันกำหนดไว้สำหรับประเทศคู่ค้า อาทิ การนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ มาตรฐานสินค้าเกษตร ระบบพิธีการศุลกากร และกฎระเบียบทางเทคนิคที่สอดคล้องต่อมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เป็นต้น รองนรม.เติ้งฯ เน้นย้ำว่า เมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นการเจรจาข้างต้นนี้ เจ้าหน้าที่เจรจาได้ยึดหลักการ “การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและอุตสาหกรรม และการคุ้มครองสุขภาพและความมั่นคงทางอาหาร สำหรับภาคประชาชน” เป็นพื้นฐานในการดำเนินการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ อย่างไม่ย่อท้อ
 
รองนรม.เติ้งฯ แถลงต่อประเด็นที่สังคมต้องการทราบเกี่ยวกับสูตรการคำนวณภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยระบุว่า หลังจากเดือนเมษายน ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ สภาบริหารไต้หวันก็ได้ทำการชี้แจงต่อสาธารณชนว่า สภาบริหารสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ไต้หวันใช้อัตราภาษีแบบสิทธิพิเศษ (MFN) บวกกับอัตราภาษีตอบโต้ในสัดส่วนร้อยละ 20% ในการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ
 
รองนรม.เติ้งฯ ระบุว่า ปัจจุบัน การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและการเกษตรจากไต้หวันไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 112,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 890 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ย สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรอยู่ที่ 3.3% ในจำนวนนี้ อัตราภาษีโดยเฉลี่ยของสินค้าอุตสาหกรรม อยู่ที่ 3.1% และสินค้าเกษตรอยู่ที่ 5%  
 
รองนรม.เติ้งฯ เน้นย้ำว่า เมื่อเผชิญหน้ากับผลกระทบทางภาคอุตสาหกรรม สภาบริหารจึงได้ประกาศแผนการให้สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน การยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม การรุกขยายตลาดไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และการชี้แนะแนวทางการประกอบอาชีพ เป็นต้น ซึ่งเปิดให้การลงทะเบียนแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ได้มีการอนุมัติแนวทางการช่วยเหลือ รวม 15 รายการ ในส่วนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สภาบริหารจะเร่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ
 
รองนรม.เติ้งฯ เผยว่า การรวบรวมประเด็นมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ และมาตรา 232 เข้าไว้ด้วยกันในการเจรจาต่อรอง ถือเป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องการผลักดันประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลก ตลอดที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้ประสานความร่วมมือกันในระบบห่วงโซ่เทคโนโลยีขั้นสูงมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งผู้ประกอบการไต้หวันต่างก็ทยอยขยายขอบเขตการลงทุนในสหรัฐฯ เป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรมต่อการพัฒนากิจการในสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการกระชับความร่วมมือระยะยาวในระบบห่วงโซ่อุปทานแบบทวิภาคี
 
ต่อประเด็นการประเมินรายงานผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเป็นกรณีพิเศษ นายกงหมิงซิน รัฐมนตรีประจำสภาบริหาร ระบุว่า วิกฤตความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญหน้า มีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องทำการประเมินเป็นรายกรณี และส่งมอบกลไกความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ในด้านอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และเยอรมนี ถูกเรียกเก็บอัตราภาษีในสัดส่วนที่ต่ำกว่าไต้หวัน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจะส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่เหล่าผู้ประกอบการในประเทศเป็นพิเศษ อาทิ การรุกขยายตลาดอินเดีย และตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปยุโรป ตลอดจนผลักดันให้มีการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องจักรกลชิ้นใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ เพื่อขยายอุปสงค์ภายในประเทศ และเพื่อชี้แนะให้ผู้ประกอบการบูรณาการเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่าน
 
ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างขนาดเล็ก ไต้หวันรับบทบาทเป็นผู้ผลิตสินค้าข้อต่อเกลียวท่อ ประแจแหวน ให้แก่สหรัฐฯ ส่วนเกาหลีใต้เป็นผู้ผลิตหัวพ่น ส่วนยุโรปและญี่ปุ่นมีแบรนด์สินค้าเป็นของตนเอง เพราะฉะนั้น คู่แข่งสำคัญของไต้หวันคือเวียดนามและจีน จะเห็นได้ว่า อัตราภาษีของเวียดนามและไต้หวันอยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนจีนถูกกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ร้อยละ 58.3% จากรายงานข้อมูลสถิติพบว่า การส่งออกจากจีนสู่สหรัฐฯ มีสัดส่วนลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนเมษายน (สัดส่วนการส่งออกของจีนสู่สหรัฐฯ เหลือเพียง 20%) พฤษภาคม (34%) และมิถุนายน (16%) จึงจะเล็งเห็นได้ว่า จีนค่อยๆ ถอนตัวออกจากตลาด ไต้หวันจึงมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายรุก ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายเช่นนี้