New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 23 ส.ค. 68
เมื่อช่วงที่ผ่านมา นายอู๋จื้อจง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้ตอบรับให้สัมภาษณ์แก่ Mr. Arnaud Vaulerin ผู้สื่อข่าวระดับอาวุโสของหนังสือพิมพ์ Libération สื่อแนวหน้าของประเทศฝรั่งเศส เนื้อหาบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องได้รับการเผยแพร่ผ่านหัวข้อ “จีนกำลังเข้าก่อกวนความสงบเรียบร้อยภายในประเทศของไต้หวัน เพื่อก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม” เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยรมช.อู๋ฯ ได้วิเคราะห์ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามที่จีนกระทำต่อไต้หวันในหลากหลายแง่มุม พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ภายใต้การนำของประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ไต้หวันจะมุ่งเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหม ควบคู่ไปกับการยกระดับความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนด้านประชาธิปไตย และคว้าสิทธิในการเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวันในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน รวมถึงวิถีชีวิตรูปแบบประชาธิปไตยที่พวกเราหวงแหน
รมช.อู๋ฯ กล่าวว่า ปธน.ไล่ฯ กำหนดให้แรงกดดันที่มาจากจีนเป็น “อิทธิพลจากประเทศภายนอก” และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบันที่ไต้หวันกำลังเผชิญหน้า โดยรัฐบาลจีนได้จัดส่งเรือรบเข้ารุกรานไต้หวันเป็นประจำแทบทุกวัน อีกทั้งยังได้ก่อการโจมตีทางไซเบอร์ แพร่กระจายข่าวปลอมเป็นวงกว้าง และเข้าแทรกซึมภาคประชาสังคมของไต้หวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบั่นทอนความสามัคคีปรองดองภายในประเทศของไต้หวัน และต้องการสร้างความแตกแยกในภาคประชาสังคมของไต้หวัน รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า : “จีนนอกจากจะเข้าข่มขู่ไต้หวันกำลังทหารอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังมุ่งหวังที่จะสร้างความร้าวฉานภายในไต้หวันอีกด้วย” นับว่าเป็นสัญญาณแจ้งเตือนวิกฤตในปัจจุบันของภาคประชาสังคมไต้หวัน ซึ่งแนวคิดที่เกี่ยวข้องต่างก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงของนานาประเทศ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี แสดงให้เห็นถึงฉันทามติระดับสากลที่นับวันยิ่งมีความหนักแน่นมากขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากจีน รมช.อู๋ฯ ชี้แจงว่า ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของไต้หวันตั้งอยู่บนแกนหลัก 3 ประการ ได้แก่ : (1) ในแง่มุมการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง รัฐบาลได้ทำการฟื้นฟูระบบการเกณฑ์ทหารที่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมและรับใช้ประเทศ เป็นเวลา 1 ปี ควบคู่ไปกับการอัดฉีดงบประมาณทางกลาโหมในปี พ.ศ. 2569 ให้เพิ่มสูงถึงสัดส่วนร้อยละ 20% ของงบประมาณภาพรวม อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวัน ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ
(2) ในด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนด้านประชาธิปไตย ในปัจจุบันนี้ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนีและอังกฤษ ต่างทยอยจัดส่งเรือลาดตระเวณแล่นผ่านพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน เพื่อร่วมปกป้องสันติภาพและเสรีภาพในการเดินเรือในพื้นที่ภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม มาตรการแนวทางเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ประชาคมโลกต่างตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันและเสถียรภาพระดับสากล ที่มีความเกี่ยวโยงกัน
(3) การคว้าสิทธิในการเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น รมช.อู๋ฯ แสดงทรรศนะว่า ไต้หวันในฐานะที่เป็นสมาชิกประชาคมโลกที่มีความรับผิดชอบ พวกเรามีศักยภาพและความสมัครใจในการสร้างคุณประโยชน์ในกิจการระดับสากล และจะมุ่งคว้าสิทธิในการเข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศอย่างกระตือรือร้น เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนของหุ้นส่วนนานาชาติต่อไป
รมช.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ไต้หวันไม่เพียงแต่จะมุ่งมั่นธำรงปกป้องวิถีชีวิตรูปแบบประชาธิปไตยด้วยการพึ่งพาตนเอง แต่ยังจะปกป้องรักษาค่านิยมด้านประชาธิปไตยและความสงบเรียบร้อยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานกฎกติกาสากล ตลอดจนจะจับมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป
ในระหว่างการสัมภาษณ์ ยังได้ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ โดยรมช.อู๋ฯ ได้กล่าวชี้แจงในประเด็น “มติการไม่ไว้วางใจต่อสหรัฐฯ” โดยระบุว่า สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีตั้งอยู่บนรากฐานค่านิยมด้านประชาธิปไตย ที่ยึดมั่นร่วมกัน และผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่มีร่วมกัน พร้อมกันนี้ รมช.อู๋ฯ ยังเผยว่า ไต้หวันสวมบทบาทที่ไม่สามารถขาดได้ในระบบห่วงโซ่อุปทานด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ปริมาณการผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ครองสัดส่วนทั่วโลกร้อยละ 50 อีกทั้งแผ่นชิปวงจรรวมทันสมัยที่ผลิตโดยไต้หวัน ครองสัดส่วนทั่วโลกกว่าร้อยละ 95 ซึ่งอุตสาหกรรมข้างต้นนอกจากจะเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของไต้หวันแล้ว ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในความมั่นคงทางเทคโนโลยีระดับโลกอีกด้วย จึงจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ เป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน มิได้เกิดการสั่นคลอนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนพรรครัฐบาลที่ขึ้นบริหารปกครองประเทศแต่อย่างใด