New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 18 ต.ค. 68
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 18 ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เดินทางเยือนนครเกาสง เพื่อเข้าร่วมทำหน้าที่เป็นประธานใน “พิธีคืนความยุติธรรมและมอบประกาศนียบัตรเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเหยื่อทางการเมือง ตามโครงการ “ย้อนอดีต สู่อนาคต”” เพื่อแสดงความเคารพนับถือต่อเหล่าบรรพบุรุษและสมาชิกครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการ พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังระบุว่า ไต้หวันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการประกาศใช้กฎอัยการศึกมาเป็นระยะเวลากว่า 38 ปี ภาคประชาชนจำนวนมากถูกกระทำและต้องเสียสละ ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงระดับชาติ จึงจะเห็นได้ว่า ประชาธิปไตยได้มาอย่างไม่ง่ายดาย ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะมุ่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูคดีความไม่ยุติธรรม เพื่อมิให้ความเจ็บปวดในยุคสมัยเผด็จการ กล้ำกรายมาเยือนอีกครา ขณะเดียวกัน ก็จะเดินหน้าปกป้องอำนาจอธิปไตยแห่งชาติอย่างแน่วแน่ พร้อมเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหมเพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ ตลอดจนเดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและการวางรากฐานธุรกิจไปสู่ประชาคมโลก ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันที่เป็นประชาธิปไตย เฉิดฉายบนเวทีนานาชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า ไต้หวันเป็นประเทศเกาะที่งดงาม มีประชาชนที่มีไมตรีจิตงดงาม และยึดมั่นในสันติภาพ อย่างไรก็ตาม โชคไม่เข้าข้างไต้หวัน เนื่องจากยุคสมัยแห่งการปกครองโดยพรรคก๊กมินตั๋ง ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2492 ซึ่งกินระยะเวลานานกว่า 38 ปี ภายใต้ยุคสมัยแห่งความมืดมน ยุทโธปกรณ์ของประเทศชาติมิได้มีไว้เพื่อปกป้องภาคประชาชน แต่กลับมีไว้เพื่อทำร้ายภาคประชาชน และบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชน หลายคนถูกจับกุมหรือแม้กระทั่งต้องเสียชีวิตลง ครอบครัวพลัดพรากจากกันไปตลอดกาล และได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงประวัติศาสตร์อันกล้ำกลืนที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า สร้างบาดแผลในใจให้แก่ทุกคนอย่างไม่สามารถลบเลือนได้ แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าไต้หวันจะต้องประสบกับความโชคร้ายข้างต้น แต่พวกเรายังมีความโชคดีอยู่บ้าง เนื่องจากตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มีภาคประชาชนจำนวนมากที่ร่วมต่อสู้เพื่ออนาคตและประชาธิปไตยของไต้หวัน แม้จะต้องสละชีวิตก็ตาม เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสก้าวผ่านจากระบอบเผด็จการมาสู่ยุคสมัยแห่งประชาธิปไตยในปัจจุบัน และมีโอกาสฟื้นฟูความเป็นธรรมในกรณีการลิดรอนสิทธิมนุษยชน และการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ที่เกิดขึ้นภายใต้ยุคสมัยความมืดมนในช่วงกฎอัยการศึก
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า “ไต้หวันประชาธิปไตย” ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลากว่าหลายสิบปี คือนัยยะที่เด่นชัดที่สุดของประชาชนจำนวน 23 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในไต้หวัน เผิงหู จินเหมินและหมาจู่ เนื่องจากความมุ่งมั่นพยายามของภาคประชาชนชาวไต้หวัน ส่งผลให้ไต้หวันก้าวสู่การเป็นประภาคารแห่งประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งภาคประชาชนไม่เพียงแต่จะมีวิถีชีวิตที่เปี่ยมด้วยเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน แต่ทุกคนยังสามารถร่วมสำแดงศักยภาพได้อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อส่งเสริมให้ประชาสังคมก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไต้หวันอุทิศแก่ประชาคมโลก
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า หัวข้อประจำปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่แล้ว พวกเราไม่สามารถลืมอดีตได้ แต่ต้องจดจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อปรับปรุงแก้ไข ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีความมุ่งมั่นและยึดมั่นในพันธกิจที่จะบรรลุไปสู่ เช่นนั้นประเทศชาติจึงจะสามารถเกิดการพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในอนาคต รัฐบาลจะมุ่งพิจารณาทบทวนกรณีความอยุติธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และจะส่งมอบประกาศนียบัตรเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเหยื่อทางการเมืองต่อไป ซึ่งถือเป็นภารกิจที่พวกเราจำเป็นต้องดำเนินการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องร่วมกันหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอยขึ้นอีก
ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า ในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศและผู้บัญชาการทหาร 3 เหล่าทัพ ข้าพเจ้ามีภาระหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธได้ เพื่อความผาสุกของภาคประชาชนจำนวน 23 ล้านคน
ประการแรก การปกป้องไต้หวัน เพื่อส่งเสริมให้ประเทศชาติพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน เมื่อกล่าวถึงประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องพูดถึงอำนาจอธิปไตยเสียก่อน เนื่องจากอำนาจอธิปไตยก่อให้เกิดเอกภาพของประเทศชาติ ไต้หวันมีสถานะพิเศษ แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งต่อการยอมรับสถานภาพของประเทศชาติ แต่ก็ยังคงมีหลักการมั่นคง มีไต้หวันจึงจะมีสาธารณรัฐจีน ภาคประชาชนที่ยอมรับสถานภาพสาธารณรัฐจีน จำเป็นต้องตระหนักเข้าใจว่า การจะปกป้องสาธารณรัฐจีน จำเป็นต้องปกป้องไต้หวัน และจะต้องยืนหยัดบนรากฐานระเบียบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยและเสรีภาพ ขณะเดียวกัน ก็ต้องยืนหยัดในแนวคิดที่ว่า สาธารณรัฐจีนและสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และอำนาจอธิปไตยของไต้หวัน มิอาจถูกครอบครอง ตลอดจนอนาคตของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาคประชาชนชาวไต้หวัน จำนวน 23 ล้านคน
ประการที่สอง ปธน.ไล่ฯ จะนำพาทุกแวดวงในประชาสังคมของไต้หวัน ผนึกกำลังสามัคคีในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของภาคประชาชน โดยมีเป้าหมายหลักคือสันติภาพ อนาคตของไต้หวันจำเป็นต้องก้าวเดินบนเส้นทางประชาธิปไตย มีสันติภาพเป็นประภาคาร และเดินหน้าพิชิตอย่างสามัคคี ในความเป็นจริงแล้ว สันติภาพจำเป็นต้องพึ่งพาศักยภาพ ซึ่งเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวันครั้งที่ 2 (Second Taiwan Strait Crisis) หรือภัยสงครามใดๆ ต่างก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า มีเพียงการประสานความร่วมมือกันอย่างสามัคคีของทหารและพลเรือน และไม่แบ่งแยกกลุ่มชาติพันธุ์ ในการร่วมปกป้องไต้หวัน สันติภาพจึงจะมีโอกาสความเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวินและปธน.ไล่ฯ จึงได้เน้นย้ำเสมอมาว่าต้องพัฒนาขีดความสามารถทางกลาโหม เพิ่มพูนงบประมาณทางกลาโหม เพื่อการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากประเทศภายนอก ควบคู่ไปกับการผลักดันกลาโหมด้วยการพึ่งพาตนเอง อันนำไปสู่การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนบูรณาการทรัพยากรร่วมกับกลุ่มพันธมิตรด้านประชาธิปไตย จึงจะสามารถพิชิตเป้าหมายการหลีกเลี่ยงภัยสงครามด้วยการเตรียมความพร้อม
ประการที่สาม การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจนอกจากจะต้องได้รับการกระตุ้นแล้ว ยังต้องเปี่ยมด้วยความยืดหยุ่น ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมาตรการจากเดิมที่พึ่งพาการเข้าลงทุนในจีน มาสู่การยืนหยัดอย่างมั่นคงในไต้หวัน วางรากฐานสู่โลกนานาชาติ และประชาสัมพันธ์ไปสู่ประชาคมโลก มีเพียงการปฏิเสธการเดินหวนกลับ จึงจะสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไต้หวันจึงจะมีอนาคต เหตุการณ์อันน่าสลดใจทั้งหมด จึงจะสามารถได้รับการยับยั้งมิให้เกิดขึ้นซ้ำรอย
ประการสุดท้าย ปธน.ไล่ฯ ในฐานะตัวแทนประเทศชาติ ได้ใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณด้วยใจจริงต่อทุกคนที่ถูกบีบบังคับและได้รับความอับอาย และต้องเสียสละประโยชน์สุขส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม