New Southbound Policy Portal

ปธน.ไล่ชิงเต๋อให้การต้อนรับ Mr. Bill Lee ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซีแห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยคณะตัวแทน

ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 21 ต.ค. 68

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้จัดเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับ Mr. Bill Lee ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซีแห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยคณะตัวแทน โดยการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ คณะตัวแทนมีกำหนดการเข้าพบปะคารวะประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ เข้าเยี่ยมเยือนกระทรวงเศรษฐการ พร้อมทั้งประกาศการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในไต้หวัน ตลอดจนร่วมแลกเปลี่ยนกับตัวแทนภาคอุตสาหกรรมของไต้หวัน เพื่อรุกขยายโอกาสธุรกิจแบบทวิภาคี
 
ไต้หวันเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 18 และเป็นแหล่งนำเข้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของรัฐเทนเนสซี การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าแบบทวิภาคี นับวันยิ่งดำเนินไปในทิศทางที่คึกคักเพิ่มมากขึ้น
 
โดยในช่วงบ่ายของวันที่ 21 ต.ค. ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้ให้การต้อนรับ Mr. Bill Lee ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซีแห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยคณะตัวแทน โดยปธน.ไล่ฯ ระบุว่า หลายปีมานี้ รัฐเทนเนสซีเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่มีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถดึงดูดนักธุรกิจข้ามพรมแดนมากมาย เดินหน้าพัฒนาการลงทุนในพื้นที่ แสดงให้เห็นถึงพลังความสดใสทางเศรษฐกิจที่แกร่งกล้าในพื้นที่
 
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ไต้หวันในฐานะคู่ค้าที่เชื่อถือได้ของสหรัฐฯ ได้กำหนดให้รัฐเทนเนสซีเป็นฐานสำคัญในการวางรากฐานการตลาดไปสู่ทั่วโลก ขณะนี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไต้หวันได้จัดตั้งฐานอุตสาหกรรม AI Server ในรัฐเทนเนสซี เพื่อขยายศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยหวังที่จะจับมือกับสหรัฐฯ สรรสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความมั่นคง ความยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีส่วนช่วยในการผลักดันการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ระดับโลก ตลอดจนเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแบบทวิภาคีให้มุ่งเติบโตขยายตัวควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกัน ไต้หวันก็กำลังเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี AI อุตสาหกรรมกลาโหม การควบคุมด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ โดยหวังที่จะสร้างความเชื่อมโยงกับรัฐเทนเนสซี ในศักยภาพด้านการผลิตและนวัตกรรมที่แกร่งกล้า เพื่อขยายบริบททางความร่วมมือที่เปิดกว้างแบบทวิภาคีต่อไป
 
ปธน.ไล่ฯ ขอบคุณ Mr. Bill และที่ประชุมสภารัฐเทนเนสซี ที่ให้การสนับสนุนไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างหนักแน่นเสมอมา โดยเฉพาะ Mr. Bill ที่ลงนามในญัตติที่เป็นมิตรต่อไต้หวันมาติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 ปี ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ไต้หวัน - รัฐเทนเนสซี เดินหน้าพัฒนาการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์แบบทวิภาคี พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้ระบุว่า การเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ของ Mr. Bill ทั้งสองฝ่ายยังได้ร่วมลงนาม “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า” ซึ่งจะมีส่วนช่วยขยายโอกาสความร่วมมือที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นในด้านการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ยานยนต์อัจฉริยะ พลังงานรูปแบบใหม่และการวิจัยพัฒนาด้านนวัตกรรม เป็นต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการขับเคลื่อนการยกระดับของภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วน ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ อีกด้วย
 
Mr. Bill กล่าวปราศรัยว่า ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับการต้อนรับอันแสนอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐของไต้หวัน ในระหว่างการมาเยือนครั้งนี้ พร้อมระบุว่า รัฐเทนเนสซียอมรับความสำคัญของไต้หวันบนเวทีประชาคมโลกและความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับรัฐเทนเนสซี ผ่านการบัญญัติกฎหมายและแถลงการณ์ที่ลงนามโดยผู้ว่าการรัฐ
 
 Mr. Bill กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนของคณะตัวแทนในครั้งนี้ ยิ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจต่อไต้หวันในเชิงลึกเพิ่มมากขึ้น ไต้หวันนอกจากจะสร้างผลสัมฤทธิ์ที่โดดเด่นในด้านเศรษฐกิจระดับโลกแล้ว ยังสวมบทบาทสำคัญในด้านการพาณิชย์อีกด้วย ประชาคมโลกต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ไต้หวันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ของไต้หวัน ขณะเดียวกัน ประสบการณ์และการพัฒนาภาคธุรกิจของไต้หวัน ก็มีรายงานสถิติที่ขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงนับว่ามีศักยภาพความร่วมมือที่มากล้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่เข้าลงทุนในรัฐเทนเนสซีกันอย่างกระตือรือร้น ได้ส่งเสริมให้รากฐานความร่วมมือแบบทวิภาคี ยิ่งดำเนินไปในทิศทางที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
 
Mr. Bill เน้นย้ำว่า ความใจกว้างและเสน่ห์ทางวัฒนธรรมของไต้หวัน ถือเป็นสินทรัพย์อันล้ำค่าที่ผู้ประกอบการไต้หวันส่งมอบให้แก่รัฐเทนเนสซี โดย Mr. Bill หวัง จะส่งเสริมให้ภาคประชาชนในไต้หวัน – รัฐเทนเนสซี ทำความรู้จักและส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจต่อกันในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม