New Southbound Policy Portal
กระทรวงพัฒนาดิจิทัล วันที่ 4 พ.ย. 68
สถาบัน IMD (International Institute for Management Development) แห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ IMD ประจำปี พ.ศ. 2568 (IMD World Digital Competitiveness Ranking 2022, DCR) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลการจัดอันดับในปีนี้ระบุว่า ไต้หวันครองอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 69 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก กระทรวงพัฒนาดิจิทัลไต้หวัน (MODA) แถลงว่า ในเกณฑ์การพิจารณาทั้งหมด 3 หมวด ไต้หวันสร้างผลงานได้โดดเด่นที่สุดในด้าน “การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต” ที่ก้าวขึ้นครองอันดับ 3 ของโลก ซึ่งขยับสูงขึ้น 3 อันดับจากในปีที่แล้ว ส่วนในหมวด “เทคโนโลยี” และ “ความรู้” ไต้หวันถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 11 และ 16 ของโลกตามลำดับ ในภาพรวม ไต้หวันมีดัชนีย่อย 8 รายการที่ติด 3 อันดับแรกของโลก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพยอดเยี่ยมในความเชี่ยวชาญดิจิทัลเฉพาะด้าน MODA แถลงว่า สำหรับดัชนีบางรายการที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข หน่วยงานภาครัฐจะดำเนินการพิจารณาทบทวน เพื่อแสวงหาแนวทางในการรักษาข้อได้เปรียบด้านการพัฒนาดิจิทัลของไต้หวันต่อไป
MODA ชี้แจงว่า ไต้หวันมีดัชนีย่อย 8 รายการที่ติด 3 อันดับแรกของโลก สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการวิจัยและพัฒนา การอุดมศึกษาและองค์กรธุรกิจที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ในจำนวนนี้ “การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อมวลชนที่มีสัดส่วนใน GDP” ไต้หวันยังคงสามารถรักษาอันดับหนึ่งไว้ได้เช่นเคย ส่วน “อัตราส่วนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจต่อ GDP” , “บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาต่อประชากร 1,000 คน” และ “การตอบสนองที่รวดเร็วและมีความยืดหยุ่นขององค์กรธุรกิจ” ต่างได้รับการจัดให้อยู่อันดับ 2 ส่วน “การทดสอบประเมินผลการเรียนรู้ในโครงการ PISA ที่มุ่งเน้นด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของนักเรียนเยาวชน” , “อัตราประชากรอายุ 25-34 ปี ที่สำเร็จการศึกษาสูงสุดระดับอุดมศึกษา” , “การตอบสนองที่คล่องแคล่วว่องไวขององค์กรธุรกิจที่มีต่อโอกาสธุรกิจหรือวิกฤต” และ “การประยุกต์ใช้ข้อมูลบิ๊กดาต้าเข้าช่วยวิเคราะห์นโยบายของภาคธุรกิจ” ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 3
MODA แถลงว่า ในด้านทักษะ “ความรู้"สะท้อนให้เห็นศักยภาพการเรียนรู้เทคโนโลยีเกิดใหม่ของประเทศที่เข้ารับการประเมิน ซึ่งไต้หวันถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 16 ขยับขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว โดย “อัตราส่วนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจต่อ GDP", “ผู้จัดการระดับอาวุโสที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศ",“ความสามารถในการดึงดูดบุคลากรต่างชาติระดับสูง ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจภายในประเทศ",“สัดส่วนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อภาพรวมของกำลังแรงงาน",“การให้ความสำคัญต่อการฝึกอบรมบุคลากรขององค์กรธุรกิจ" และ “สัดส่วนผู้หญิงที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา" ต่างก็มีอันดับที่ขยับสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีของไต้หวัน ในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มวัยทำงาน โดย MODA จะเดินหน้าผลักดันการบ่มเพาะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจในการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่เยาวชน และส่งเสริมศักยภาพทางดิจิทัลให้แก่บุคลากรข้ามแวดวงต่อไป ตลอดจนยกระดับการเปิดรับบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลระดับนานาชาติ เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านดิจิทัลที่สอดคล้องกับความต้องการด้านการวิจัยพัฒนาและภาคอุตสาหกรรมต่อไป
ในแง่มุม “เทคโนโลยี"ใช้ในการประเมินศักยภาพของประเทศชาติในการวิจัยพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งไต้หวันครองอันดับที่ 11 ของโลก ทั้ง “การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีโดยข้อบัญญัติทางกฎหมาย", “กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม", “ความพร้อมของเงินทุนในการสนับสนุนการพัฒนาทางเทคโนโลยี"และ “การตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (ทั้งข้อความเสียงและข้อมูลสถิติ)"ต่างก็มีพัฒนาการที่ก้าวหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ในการสรรสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตแบบ 5G รวมไปถึงการประยุกต์ใช้ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองกระแสการพัฒนาเทคโนโลยี AI MODA จะมุ่งจัดตั้งสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการประยุกต์ใช้ AI ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรม AI ภายใต้มุมมองผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรม AI โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะยกระดับการจัดอันดับให้มีพัฒนาการที่รุดหน้าต่อไป
สำหรับ “การเตรียมความพร้อมในอนาคต"เป็นการประเมินการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศชาติ ซึ่งไต้หวันครองอันดับ 3 ของโลก ขยับขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว ซึ่งในจำนวนนี้ “การตอบสนองที่รวดเร็วและมีความยืดหยุ่นขององค์กรธุรกิจ", “การประยุกต์ใช้ข้อมูลบิ๊กดาต้าเข้าช่วยวิเคราะห์นโยบายของภาคธุรกิจ", “ยอดขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์", “คุณสมบัติการปรับตัวและความยืดหยุ่นของภาคประชาชนในการเผชิญหน้ากับความท้าทายรูปแบบใหม่", “ความครอบคลุมสมบูรณ์ในการพัฒนาการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ", “สัดส่วนประชากรที่กลัวความผิดหวัง และล้มเลิกโอกาสการประกอบธุรกิจ", “ความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการกระตุ้นการพัฒนาทางเทคโนโลยี"และ“ขอบเขตการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของระบบกฎหมาย"ต่างก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการแข่งขันระดับสูงของไต้หวัน ในด้านองค์กรธุรกิจที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางเทคโนโลยีระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมไปถึงผลสัมฤทธิ์ด้านการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของภาคประชาชน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน
MODA แถลงว่า สำหรับในส่วนของดัชนีที่ยังต้องได้รับการปรับปรุง อาทิ “สัดส่วนของนักวิจัยที่เป็นผู้หญิง"และ“สัดส่วนอาจารย์ - นักศึกษาในการอุดมศึกษา"MODA จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงแก้ไข ในส่วนของ “การบัญญัตินโยบายด้าน AI เข้าสู่ระบบกฎหมาย"ระยะที่ผ่านมา MODA ได้ยื่นเสนอ “ร่างกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมการประยุกต์ใช้นวัตกรรมสารสนเทศ"ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นส่งให้สภาบริหารดำเนินการพิจารณาแล้ว ในอนาคต หลังจากที่ “กฎหมายขั้นพื้นฐานด้าน AI"ได้รับมติผ่านการพิจารณา ในวาระที่ 3 แล้ว MODA จะทำการยื่นเสนอ “กรอบโครงสร้างการจำแนกความเสี่ยงด้าน AI” ซึ่ง MODA จะจับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขข้อกฎหมายและคู่มือที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเสริมสร้างการเสวนาระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ในอนาคต MODA จะดำเนินการประเมินข้อได้เปรียบด้านการพัฒนาดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ “การผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรม AI", “การเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านความมั่นคงทางไซเบอร์", “การส่งเสริมมาตรการการปราบปรามการทุจริต"และ“การส่งเสริมรัฐบาลดิจิทัล"เพื่อเร่งการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมทางดิจิทัลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อนำพาให้ประชาคมโลกก้าวสู่โลกอนาคตในยุคสมัยดิจิทัลที่มีความมั่นคง สะดวกสบายและเกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน