New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 7 พ.ย. 68
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “พิธีเปิดมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติไทเป ประจำปี 2568” (Taipei International Travel Fair, ITF) ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าหนานกั่ง อาคาร 1 ในช่วงระหว่างวันที่ 7 – 10 พฤศจิกายน 2568 โดยปธน.ไล่ฯ ระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจของไต้หวัน จึงควรที่จะประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่า ทั้งภูเขา ทะเล ประเพณี รวมถึงอาหาร ทัศนียภาพและความหลากหลายวัฒนธรรม เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ไร้ปล่องควัน ในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความผาสุกให้แก่ภาคประชาชน โดยปธน.ไล่ฯ หวังที่จะจัดตั้งหน่วยงานวิจัยที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรง เพื่อบ่มเพาะบุคลากร คิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์ ไปจนสู่การบูรณาการห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยว เพื่อวางทิศทางการพัฒนาที่แน่ชัด ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การพิชิตเป้าหมายมูลค่าการผลิตล้านล้านเหรียญไต้หวัน ภายในปี พ.ศ. 2573
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นยิ่งใหญ่กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดให้มีคูหาจำนวน 1,600 รายการจาก 123 ประเทศ / เขตพื้นที่ ซึ่งทุกคูหาล้วนได้รับการออกแบบอย่างดีเยี่ยม และมีการตกแต่งที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม
นอกจากนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังแถลงว่า การผลักดันทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน มูลค่าการท่องเที่ยวภายในประเทศ เมื่อปีที่แล้ว สร้างยอดสูงถึง 837,800 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นการพิชิตไปสู่เป้าหมายมูลค่าล้านล้านเหรียญไต้หวัน ภายในปี 2573 ต่อมาคือความหวังที่ต้องการจะเห็นกระทรวงคมนาคมหรือสภาบริหาร สามารถเร่งจัดตั้งหน่วยงานวิจัยที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อพิชิตไปสู่เป้าหมายข้างต้น ผ่านการดำเนินภารกิจหลากหลายมิติ ตั้งแต่การบ่มเพาะบุคลากร การคิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์ไปจนสู่การบูรณาการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ประการที่สามคือการวางทิศทางการพัฒนา การท่องเที่ยวประกอบด้วยการท่องเที่ยวในประเทศและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังแบ่งออกเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศ (Inbound) และการท่องเที่ยวในรูปแบบธุรกิจนำเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) ซึ่งทั้ง 3 ประการต่างก็มีความสำคัญต่อไต้หวันเป็นอย่างมาก หากต้องการยกระดับมูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ก็จำเป็นจะต้องเสริมสร้างการท่องเที่ยวระหว่างประเทศแบบ Inbound
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นกิจกรรม นางเย่จวี๋หลัน ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมการท่องเที่ยวไต้หวัน (Taiwan Visitors Association, TVA) ระบุว่า รายจ่ายด้านการท่องเที่ยวของ คิดเป็นจำนวน 1.4 ล้านล้านเหรียญไต้หวันในทุกปี ซึ่งในจำนวนนี้ 900,000 กว่าล้านเป็นการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ส่วนอีก 500,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เป็นการท่องเที่ยวในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมาก จึงหวังที่จะเห็นกระทรวงคมนาคมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไต้หวันในการเข้าร่วมมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเยือนไต้หวันกันเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า ไต้หวันมีคุณสมบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ดีเยี่ยม ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 รายการ ประการแรก การเพิ่มจำนวนของวันหยุดราชการ ทำให้ภาคประชาชนมีเวลาในการออกเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น ประการที่สอง รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น จากกระแสการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการผลักดันการลงทุนในภาคประชาสังคมของรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายการลดหย่อนภาษีอากร ส่งผลให้ภาระความรับผิดชอบของครอบครัวได้รับการบรรเทาลง จึงทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีทรัพยากรมากพอจะนำไปใช้ในการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการ และประการสุดท้ายคือการผ่อนคลายนโยบายด้านบุคลากร ขณะนี้ สภาบริหารได้เรียกร้องให้กระทรวงแรงงาน เร่งส่งเสริมให้แรงงานต่างชาติ เข้าทำงานในอุตสาหกรรมโรงแรม เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนบุคลากร พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะเพิ่มการลงทุนในภาคประชาสังคม เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยวในประเทศ
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวต่างประเทศ ด้วยการจัดตั้ง “ทีมชาติไต้หวัน” โดยให้การสนับสนุนผู้ประกอบการด้านคมนาคม และธุรกิจที่พักแรม ประสานความร่วมมือกันในการร่วมผลักดันการพัฒนาอุตสาหรรมการท่องเที่ยวในไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลกลางยังต้องช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ผลักดันโดยเทศบาลท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อดึงดูดภาคประชาชนให้เข้าร่วมกันในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ก็จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการ อันจะเป็นการเพิ่มพูนศักยภาพการแข่งขันระดับนานาชาติต่อไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เมื่อครู่ที่ผ่านมา นายเฉินซื่อไข่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไต้หวัน ได้ยื่นเสนอแนวคิด “ยอดเขาสูงบนเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์” และ “อ่าวในพื้นที่ทางใต้ของไต้หวัน” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกรณีตัวอย่างด้านการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค พร้อมชี้แจงว่า “ยอดเขาสูงบนเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์” ทอดยาวตั้งแต่พื้นที่ภูเขาอาลีซาน ทะเลสาบสุริยันจันทราไปจนถึงหุบเขาฮัวเหลียน – ไถตง เผยให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางธรรมชาติและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในพื้นที่ทางภาคกลางไปจนถึงภาคใต้ของไต้หวัน ส่วน “อ่าวในพื้นที่ทางใต้ของไต้หวัน” มุ่งเน้นไปในพื้นที่ทางภาคใต้ของไต้หวัน โดยมีพื้นที่เลียบริมมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตกึ่งเขตร้อน เป็นพื้นหลัง เผยให้เห็นเสน่ห์ทางทะเลของเมืองผิงตง
ภายใต้การนำของนายอู๋จื้อจง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ปธน.ไล่ฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมคูหาของประเทศพันธมิตร เพื่อทักทายคณะทูตานุทูตจากนานาประเทศ ซึ่งภายใต้ความช่วยเหลือของกต.ไต้หวัน มหกรรม ITF ประจำปีนี้ยังได้ติดต่อเชิญกลุ่มประเทศพันธมิตรของไต้หวันที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคลาตินอเมริกาและพื้นที่แถบทะเลแคริบเบียน เข้าร่วมจัดตั้งคูหาร่วมด้วย ทั้งเบลีซ สาธารณรัฐกัวเตมาลา เซนต์ลูเซีย เซนต์คิดส์และเนวิส เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ รวมถึงราชอาณาจักรเอสวาตินี เป็นต้น
ภายใต้แนวคิด “การทูตเชิงค่านิยม” และ “ดินแดนแห่งเศรษฐกิจที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ที่ยื่นเสนอโดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน มุ่งมั่นผลักดัน “การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” ภายใต้โครงการการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่พันธมิตร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศพันธมิตร พร้อมกันนี้ ยังได้จับมือกับสมาคม TVA และสมาคม Travel Agent Association of R.O.C. ,Taiwan (TAAT) ในการติดต่อเชิญให้ผู้ประกอบการภายในประเทศ รวบรวมคณะตัวแทนเข้าสำรวจโอกาสธุรกิจในเบลีซและกัวเตมาลา รวมถึงเอสวาตินี เพื่อวางแผนโปรแกรมการท่องเที่ยวที่สอดรัยต่อความชื่นชอบและความต้องการของภาคประชาชน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน เดินทางเยือนประเทศพันธมิตรกันเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น