New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 15 พ.ย. 68
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไต้หวัน (Taiwan Foreign Correspondents' Club, TFCC) เพื่อชี้แจงสถานการณ์ความคืบหน้าล่าสุดและผลสัมฤทธิ์ ภายใต้ “การทูตเชิงบูรณาการ” ที่ผลักดันโดยไต้หวัน ซึ่งเนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องได้รับการทยอยเผยแพร่ผ่านสื่อนานาชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ประชาคมโลกเกิดความเข้าใจต่อจุดยืนนโยบายและการสร้างคุณูปการของไต้หวันที่มีต่อประชาคมโลกได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างค่านิยมด้านเสรีภาพ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ที่ไต้หวันและพันธมิตรด้านประชาธิปไตย ยึดมั่นร่วมกันให้เกิดความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
รมว.หลินฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ รัฐบาลไต้หวันก็มุ่งผลักดัน “การทูตเชิงค่านิยม” และพัฒนาให้เกิดการบรรลุวิสัยทัศน์ “ดินแดนแห่งเศรษฐกิจที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ผนวกเข้ากับ “การทูตเชิงบูรณาการ” ที่รวบรวมไว้ซึ่งค่านิยม พันธมิตรและเศรษฐกิจ
ในแง่มุมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตร ตลอดระยะเวลาปีเศษที่รมว.หลินฯ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นต้นมา ได้เดินทางเยือนประเทศพันธมิตรแล้วเป็นจำนวน 11 ประเทศ และได้อาศัยโครงการต่างๆ ในการชี้แจงการส่งเสริมเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลและการบ่มเพาะบุคลากร ภายใต้ “โครงการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศพันธมิตร” ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์รูปแบบหุ้นส่วนในเชิงลึก อาทิ สวนเทคโนโลยีอัจฉริยะของปารากวัย , การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของปาเลา และสวนนวัตกรรมอุตสาหกรรมของเอสวาตินี เป็นต้น
ในแง่มุมความร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน รมว.หลินฯ ระบุว่า หลังการเข้ารับตำแหน่งเป็นต้นมา ตนได้ทยอยเดินทางเยือนประเทศพันธมิตรแล้วกว่า 11 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป ซึ่งพวกเราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินหน้ากระชับความร่วมมือกับบรรดาประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ในปีนี้ยังก้าวเข้าสู่วาระครบรอบ 10 ปีของการจัดตั้งกรอบความร่วมมือ Global Cooperation and Training Framework (GCTF) โดยพวกเราจะมุ่งเดินหน้าผลักดันความร่วมมือในประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัลและความมั่นคงแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอังกฤษได้ก้าวสู่การเป็นประเทศสมาชิกแรกของกลุ่มประเทศทวีปยุโรป สื่อให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างพันธมิตรด้านประชาธิปไตยโลก ที่ยกระดับไปสู่อีกขั้น
เมื่อกล่าวถึงความร่วมมือระหว่างไต้หวัน – ยุโรป เมื่อช่วงที่ผ่านมา รมว.หลินฯ และรองประธานาธิบดีเซียวเหม่ยฉินแห่งไต้หวัน ได้เข้าร่วม “การประชุมประจำปีของกลุ่มพันธมิตรจีนแห่งรัฐสภาข้ามชาติ” (IPAC) สื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ยุโรป ที่ก้าวไปสู่อีกลำดับขั้น ซึ่งในปีนี้ รมว.หลินฯ ได้เดินทางเยือนกลุ่มประเทศทวีปยุโรปเป็นจำนวนบ่อยครั้ง เพื่อเข้าแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยีและคลังสมอง ตลอดจนยื่นเสนอแผนการเสริมสร้างความร่วมมือนานาชาติ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงของสายเคเบิลใต้ทะเล ตลอดจนเน้นย้ำว่า “ไต้หวันที่มีเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้” และสวมบทบาทสำคัญอย่างไม่สามารถขาดได้ในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และกระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศทวีปยุโรป
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - สหรัฐฯ รมว.หลินฯ เน้นย้ำว่า สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน ขณะนี้ ไต้หวันกำลังเร่งดำเนินการปฏิรูปทางกลาโหม ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เป้าหมาย 5% ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องประเทศด้วยการพึ่งพาตนเอง โดยไต้หวันหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะจับมือกับสหรัฐฯ รวมกลุ่มกันเป็น “ทีมกองทัพเรือร่วมไต้หวัน – สหรัฐฯ” ซึ่งจะอาศัยข้อได้เปรียบของสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยี การเงินและบุคลากร วางรากฐานสู่ประชาคมโลกในภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาการขยายตัวเติบโตของห่วงโซ่อุปทานด้านประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการยกระดับความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ
ส่วนแง่มุมความร่วมมือระหว่างไต้หวัน – ญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นหุ้นส่วนสำคัญในพื้นที่ระยะห่วงโซ่ที่ 1 โดยรมว.หลินฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นญี่ปุ่นให้การสนับสนุนและส่งมอบความช่วยเหลือแก่ไต้หวัน ในการเข้าร่วม “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก” (CPTPP) ควบคู่ไปกับการเปิดการเจรจา “ความตกลงเชิงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” (EPA) ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน - ญี่ปุ่น จะดำเนินไปสู่ทิศทางที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้การนำของ Ms. Takaichi Sanae นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน
นอกจากนี้ รมว.หลินฯ ยังได้ชี้แจงว่า การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี พ.ศ. 2569 จีนรับหน้าที่เป็นประเทศเจ้าภาพ แต่หากจีนไม่เคารพตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เกรงว่าจะส่งผลให้รูปแบบการทำงานของเอเปคที่ยึดหลักฉันทามติร่วมกัน ขาดประสิทธิภาพลง และจะส่งผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ภาพรวมของการประชุม จึงหวังที่จะเห็นประชาคมโลกเฝ้าจับตาต่อประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ต่อกรณีที่สื่อต่างชาติสังเกตเห็นว่า มีสื่อบางกลุ่มที่ไม่เรียกแทนไต้หวันว่าเป็น “ประเทศ” นั้น รมว.หลินฯ ตอบรับชัดเจนว่า “ไต้หวันก็คือไต้หวัน” พร้อมเน้นย้ำว่า ไต้หวันประกอบด้วยคุณสมบัติ 4 ประการ ได้แก่ : ประชาชน , ดินแดนประเทศ , รัฐบาลและอำนาจอธิปไตย แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศได้ตามปกติ อันเนื่องมาจากการขัดขวางของรัฐบาลจีน “การคงอยู่ของไต้หวัน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ประชาคมโลกมิได้เคารพในกฎระเบียบว่าด้วย “ทุกประเทศสามารถเข้าร่วมได้อย่างเท่าเทียม” ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ” ด้วยเหตุนี้ รมว.หลินฯ จึงขอเรียกร้องให้สื่อนานาชาติมองข้ามแรงกดดันจากจีน ขานเรียกและมอง “ไต้หวัน” ตามเดิมอย่างเคย
ในช่วงท้าย รมว.หลินฯ แถลงว่า หลายปีมานี้ มีประเทศจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่ยังคงให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงของไต้หวัน ท่ามกลางสถานการณ์แรงกดดันจากจีน สื่อให้เห็นว่า ภัยคุกคามจากจีนได้กลายมาเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจร่วมกัน สงครามรัสเซีย – ยูเครน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกัน ระหว่างความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันและความมั่นคงในทวีปยุโรป ส่งผลให้ค่านิยมด้านประชาธิปไตย เทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทาน ได้รับการให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ รมว.หลินฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อสื่อนานาชาติ ที่เฝ้าจับตาต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันเสมอมา พร้อมเน้นย้ำว่า ไต้หวันจะสร้างคุณค่าที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นให้แก่ประชาคมโลก ด้วยความทรหดทางประชาธิปไตยและศักยภาพทางเทคโนโลยี