New Southbound Policy Portal
กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 6 ธ.ค. 68
ต่อเนื่องจากเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่นายหลี่อวี้เจี๋ย กรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ ได้รับเชิญให้นำคณะตัวแทนเดินทางเข้าร่วม “การประชุมเสวนาซิดนีย์” (The Sydney Dialogue) ที่จัดขึ้นโดย “สถาบันวิจัยนโยบายทางยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย” (ASPI) ในปีนี้ กรรมการหลี่ฯ ก็ยังคงถูกรับเชิญให้เข้าร่วมการประชุม พร้อมรับหน้าที่เป็นผู้ร่วมบรรยาย นอกจากนี้ยังเป็นปีแรกที่ “สถาบันวิจัยเพื่อเทคโนโลยี ประชาธิปไตยและสังคม” (Research Institute for Democracy, Society, and Emerging Technology, DSET) คลังสมองภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไต้หวัน ได้รับเชิญให้จัดส่งตัวแทนเข้าร่วม โดยมีนายไล่โย่วหาว รองหัวหน้าฝ่ายกิจการบริหารประชาธิปไตยของ DSET เข้าร่วมการเสวนา
กรรมการหลี่ฯ ชี้แจงในระหว่างการประชุมหัวข้อ “ภัยคุกคามลูกผสมและเทคโนโลยี” โดยระบุว่า ในปัจจุบัน พันธมิตรประชาธิปไตยโลกต่างต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามลูกผสมที่มีขอบเขตกว้างมากขึ้น และมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ซึ่งไต้หวันถือเป็นประเทศแนวหน้าที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตเหล่านี้ อันจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลจีนอัดฉีดงบประมาณสนับสนุนผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวิดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อจีน หรือการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านช่องทางการประยุกต์ใช้เว็บไซต์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น นอกจากนี้ จีนยังได้กำหนดให้ไต้หวันเป็นฐานทดลองภารกิจการบ่อนทำลาย ด้วยการอาศัยข่าวปลอมที่ต้นทุนต่ำและการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ในการก่อสงครามข่าวสารต่อไต้หวัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างความแตกแยกในภาคประชาสังคมของไต้หวันและลดทอนความเชื่อมั่นของภาคประชาชน ตลอดจนนำประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ประยุกต์ใช้ในการแทรกแซงทางการเมืองต่อพันธมิตรประชาธิปไตยทั่วโลก
กรรมการหลี่ฯ เน้นย้ำว่า สงครามลูกผสมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนบนโลกอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี พันธมิตรด้านประชาธิปไตยควรที่จะประสานความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียว ในการระดมสมองแสวงหาแนวทางการสกัดกั้นภัยคุกคาม เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งค่านิยมด้านประชาธิปไตย ให้คงอยู่ยั่งยืนสืบไป
ในระหว่างการประชุมหัวข้อ “ประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี AI และการแข่งขัน” รองหัวหน้าไล่ฯ กล่าวว่า ในระหว่างการสำรวจนโยบายที่เกี่ยวข้องและการแข่งขันด้าน AI ของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ เราควรที่จะก้าวข้ามกรอบความคิดแบบแบ่งขั้วที่ระบุให้เห็นว่า “การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในสหรัฐฯ ขับเคลื่อนโดยตลาด ส่วนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในจีนขับเคลื่อนโดยรัฐบาล” ซึ่งรองหัวหน้าไล่ฯ ได้หยิบยกรายงานวิจัยที่เผยแพร่โดย DSET มาประกอบการชี้แจง โดยระบุว่า แม้ภายใต้ระบบที่รัฐเป็นผู้นำ จีนกลับยังคงประสบกับปัญหาการผลิตแผ่นชิปที่ล้นตลาด สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ยังคงมีนโยบายอีกหลายส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกัน ประชาคมโลกจำเป็นต้องตระหนักถึงรูปแบบ “การขับเคลื่อนโดยรัฐบาล”ของจีน และเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนว่า ภายใต้รูปแบบการพัฒนาข้างต้น รัฐบาลควรเร่งหามาตรการควบคุมระบบ AI และสภาพแวดล้อมสารสนเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของการรวบรวมประยุกต์ใช้ การควบคุมและจำกัดการไหลเวียนข้อมูล เป็นต้น
นอกจากนี้ รองหัวหน้าไล่ฯ ยังได้ระบุว่า หัวใจหลักสำคัญของการพัฒนา AI คือการประมวลผลและแผ่นชิป โดยไต้หวันจะสวมบทบาทสำคัญในการแข่งขันด้าน AI พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า มีเพียงสภาพแวดล้อมสารสนเทศที่โปร่งใสและเปิดกว้าง รวมถึงกระบวนการพิจารณาโดยการเข้ามีส่วนร่วมของภาคประชาชน จึงจะสามารถสร้างรากฐานความเชื่อมั่นทางสังคมที่แข็งแกร่งได้ สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีเกิดใหม่
นอกจากนี้ ในระหว่างการเข้าร่วม “การเสวนาซิดนีย์” กรรมการหลี่ฯ ยังได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนกับตัวแทนกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน โดยการเสวนาในครั้งนี้ มุ่งเน้นการอภิปรายในประเด็นการแข่งขันและการบริหารเทคโนโลยี AI , ความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและความยืดหยุ่นระดับประเทศ , ภัยคุกคามลูกผสมรูปแบบใหม่ , กลยุทธ์เทคโนโลยีสมัยใหม่และควอนตัมเทคโนโลยี , ยุคดิจิทัลในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก และภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น