New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดีและสภาบริหาร วันที่ 10 ธ.ค. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “พิธีประกาศมอบรางวัลประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเอเชีย” (Asia Democracy and Human Rights Award) ครั้งที่ 20 โดยองค์กรที่ได้รับรางวัลประจำปีนี้ได้แก่ สมาคมการส่งมอบความช่วยเหลือทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชนอินโดนีเซีย (Perhimpunan Bantuan Hukum dan HAM Indonesia, PBHI) ที่ยืนหยัดในภารกิจด้านสิทธิมนุษยชนอย่างหนักแน่น ท่ามกลางสถานการณ์ที่พลิกผัน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนในประชาคมโลก พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้ระบุว่า ไต้หวันจะยังคงเดินหน้าเสริมสร้างสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเผชิญหน้ากับความถดถอยของระบอบประชาธิปไตย และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นการปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรอได้ ปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นทุกภาคส่วนประสานสามัคคีในการปกป้องค่านิยมสากล โดยไม่มีการแบ่งแยกพื้นที่ ประเทศชาติหรือพรรคการเมือง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้แสงประทีปประชาธิปไตย ส่องสว่างสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง
เริ่มต้น ปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความยินดีกับสมาคม PBHI ที่ได้รับ “รางวัลประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเอเชีย” ครั้งที่ 20 อีกทั้งยังได้แสดงความขอบคุณต่อความมุ่งมั่นของมูลนิธิประชาธิปไตยไต้หวัน (Taiwan Foundation for Democracy, TFD) ที่แสดงให้ประชาคมโลกประจักษ์เห็นแนวคิดด้านประชาธิปไตยของไต้หวัน การมอบรางวัลในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการให้การยอมรับต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนานาชาติแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพันธมิตรด้านประชาธิปไตยโลก ในการธำรงรักษาสิทธิมนุษยชน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเสรีภาพและการบรรลุสู่ประชาธิปไตย
PBHI ถือเป็นองค์การที่ยึดมั่นในค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนอย่างหนักแน่น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปัจจัยความไม่แน่นอน ซึ่งนับตั้งแต่ที่ก่อตัวขึ้นปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา นอกจากจะให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่เหยื่อผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีหน้าที่ตรวจสอบนโยบาย และเข้าร่วมหารือในการประชุมที่เกี่ยวข้องของสภานิติบัญญัติ เพื่อส่งเสริมให้เสียงของภาคประชาชนได้รับการบรรจุเข้าสู่นโยบายระดับชาติ
แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการใส่ร้ายป้ายสีด้วยความจงใจ หรือภัยคุกคามที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสรีภาพและความปลอดภัยส่วนบุคคล สมาชิก PBHI ก็ยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกประเภท ด้วยแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างกระตือรือร้น อันจะเห็นได้จากการประสานงานระหว่างนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในยูเครนและบังกลาเทศ เพื่อเชื่อมโยงแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ
ไต้หวันเคยก้าวผ่านการปกครองในยุคเผด็จการ และสถานการณ์ความไม่มั่นคงในสังคม ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย เฉกเช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย พวกเราจึงมีสังคมพลเมืองที่มีความหลากหลาย เปิดกว้างและเปี่ยมด้วยพลังความสดใส ดังเช่นในปัจจุบัน
ไต้หวันยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าเสริมสร้างสิทธิมนุษยชน ผ่านแนวทางที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในปี 2565 ได้มีการยื่นเสนอแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับแรก ประกอบกับในปีนี้ พวกเราได้ริเริ่มผลักดันการกำหนดแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับล่าสุด โดยได้รวบรวมความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในประเด็นสิทธิมนุษยชน
ในปีนี้ ไต้หวันยังได้จัดตั้งดัชนีสิทธิมนุษยชนขึ้นเป็นครั้งแรก โดยได้อ้างอิงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อเสริมสร้างกลไกการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้าน โดยหวังที่จะยกระดับความโปร่งใสและประสิทธิภาพของหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 9 – 10 ธันวาคมที่ผ่านมา สภาบริหารมีกำหนดการจัด “การประชุมนานาชาติเนื่องในวันสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568” ภายใต้หัวข้อ “ความทรงจำทางประวัติศาสตร์และการเสริมสร้างประชาธิปไตย : ประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม และการเสวนาระหว่างประเทศในไต้หวัน” โดยได้ติดต่อเชิญผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจากสเปน , เยอรมนี , เกาหลีใต้ , ลิทัวเนีย , โปแลนด์และเช็ก เข้าร่วมแลกเปลี่ยน โดยมีนายหลินหมิงซิน รัฐมนตรีประจำสภาบริหารไต้หวันกล่าวปราศรัยในพิธีเปิด รมว.หลินฯ ระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่พันธมิตรประชาธิปไตยโลกเผชิญหน้ากับความท้าทายรูปแบบใหม่ ไต้หวันยังคงสร้างเสริมความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ผ่านการเสวนาข้ามพรมแดน ควบคู่ไปกับการยกระดับความยืดหยุ่นทางประชาธิปไตย ซึ่งเปี่ยมด้วยนัยยะสำคัญยิ่ง
รมว.หลินฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา สหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันสิทธิมนุษยชนสากล” อย่างไรก็ตาม ภายใต้ยุคสมัยนั้น ไต้หวันได้ก้าวเข้าสู่สังคมที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกและความน่าสะพรึงสีขาวที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลายาวนาน สิทธิมนุษยชนถูกรุกรานและโจมตีอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้สังคมตกอยู่ในสภาวะความตึงเครียด จวบจนปัจจุบัน เวลาล่วงเลยมากว่าครึ่งศตวรรษ จากรายงานเสรีภาพโลกประจำปี 2568 ที่ประกาศโดยองค์การ Freedom House แห่งสหรัฐฯ ไต้หวันได้รับการจัดให้อยู่อันดับ 2 ในเอเชียจาก 195 ประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า ไต้หวันเป็นหนึ่งในประเทศประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย
ในภารกิจการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรมนั้น รมว.หลินฯ กล่าวว่า จากกรอบโครงสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรรม ภายใต้ระบบสหประชาชาติ การเดินหน้าผลักดันจำเป็นต้องประกอบด้วย 5 มิติหลัก ได้แก่ : ข้อเท็จจริง , ความยุติธรรม , การฟื้นฟู , การสร้างหลักประกันเพื่อมิให้เกิดขึ้นซ้ำอีก และความทรงจำที่ควรค่าแก่การระลึกถึง
รมว.หลินฯ เน้นย้ำว่า ประสบการณ์ระหว่างประเทศให้ข้อคิดแก่พวกเราว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอดีต ความเงียบงันไม่ใช่คำตอบ มีเพียงการย้อนพิจารณา เรียนรู้และปฏิรูปอย่างเป็นระบบระเบียบเท่านั้น จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นได้