New Southbound Policy Portal
ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 17 ธ.ค. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “งานแถลงข่าวระดับนานาชาติว่าด้วยการนำพาไต้หวัน พัฒนาสู่ประเทศปลอดโรคไวรัสตับอักเสบซี” โดยปธน.ไล่ฯ แถลงว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการกำจัดไวรัสตับอักเสบซี ได้รับการยอมรับขั้นสูงจากพันธมิตรเครือข่ายโรคไวรัสตับอักเสบในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (APAC Liver Disease Alliance) โดยหวังที่จะสร้างหลักชัยใหม่ในประวัติศาสตร์ด้านสาธารณสุขโลก
ปธน.ไล่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า มองย้อนกลับสู่ปีพ.ศ. 2527 ไต้หวันเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศใช้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ซึ่งบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัด ส่งผลให้ไต้หวันไม่เพียงแต่เป็นต้นแบบของโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคระดับโลกของขององค์การอนามัยโลก (WHO) เท่านั้น แต่ยังมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าในการควบคุมไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังกล่าวว่า ไต้หวันสามารถบรรลุเป้าหมายการกำจัดไวรัสตับอักเสบซีได้ก่อนเป้าหมายในปี 2573 ที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก ล่วงหน้าถึง 5 ปี แซงหน้ากลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย
ในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อนายเฉินเจี้ยนเหริน อดีตรองประธานาธิบดีไต้หวัน ที่ขานรับต่อแผนการของ WHO ในการเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบซี ด้วยการผลักดันการจัดตั้ง “สำนักงานแห่งชาติ เพื่อดำเนินการกำจัดไวรัสตับอักเสบซี” ขึ้นภายในปลายปีนั้น และกำหนดให้ตัวยารักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดใหม่ (Direct acting antiviral, DAA) ได้รับการบรรจุเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติไต้หวัน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการดูแลทางการแพทย์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปี 2561 ในระหว่างที่ปธน.ไล่ฯ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการลงมติอนุมัติ “แผนแม่บทนโยบายการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบซี” (Taiwan Hepatitis C Policy Guideline) โดยได้ยื่นเสนอกลยุทธ์หลักว่าด้วย “การป้องกันด้านสาธารณสุขแบบแม่นยำ” , “การป้องกันรูปแบบเบ็ดเสร็จ” และ “กลไกการป้องกันในพื้นที่” เพื่อเดินหน้าผลักดันภารกิจการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีอย่างครอบคลุม
หลายปีมานี้ รัฐบาลได้เพิ่มขยายการลงทุนและให้การสนับสนุนทางการแพทย์ ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยและการรักษา และได้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขการเบิกจ่ายผลิตภัณฑ์ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดใหม่ (DAA) จวบจนปัจจุบัน มีประชากรที่เข้ารับการรักษาแล้วรวมจำนวน 176,000 คน อัตราความสำเร็จสูงถึง 98.4% นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้วางแผนจัดเตรียมกลยุทธ์การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน อาทิ ผู้พำนักอาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยโรคระบาด หรือผู้ที่พำนักอาศัยในพื้นที่ภูเขาสูงและเกาะรอบนอก หรือแม้แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ใช้ยาเสพติดและนักต้องขังในเรือนจำ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดตั้งเครือข่ายข้อมูลสถานการณ์ความคืบหน้าในการกำจัดไวรัสตับอักเสบซี โดยได้บูรณาการระบบข้อมูลของหน่วยงานกลาง หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานภาคเอกชน ในการจัดสรรทรัพยากร และจัดตั้งกลไกการตรวจสอบแบบเรียลไทม์และการปรับโครงสร้างนโยบาย ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการเสริมสร้างนวัตกรรมและประสิทธิภาพของกลยุทธ์การป้องกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับความยืดหยุ่นอีกด้วย
ปธน.ไล่ฯ เน้นย้ำว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบซี ได้รับการยอมรับขั้นสูงจากพันธมิตรเครือข่ายโรคไวรัสตับอักเสบในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (APAC) ไม่ว่าจะในส่วนของแผนปฏิบัติการ , การอัดฉีดทุนงบประมาณ , นโยบายมาตรการและแผนปฏิบัติการกำจัด ล้วนแต่ได้รับการประเมินให้อยู่ในมาตรฐานขั้นสูงสุด โดยรัฐบาลวางแผนไว้ว่า ปลายปีนี้จะยื่นขออนุมัติรับรองการเป็นประเทศปลอดไวรัสตับอักเสบซีต่อ WHO ในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกประจักษ์ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวัน ในการปกป้องสุขภาพของภาคประชาชน และร่วมแบ่งปันนโยบายและประสบการณ์ต่อประชาคมโลก
ปธน.ไล่ฯ แถลงว่า การสรรสร้าง “ไต้หวันสุขภาพดี” ถือเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ข้าพเจ้าได้จัดตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมไต้หวันสุขภาพดี” ขึ้นในทำเนียบปธน. เพื่อผนึกกำลังของภาครัฐและภาคเอกชน ในการผลักดันนโยบายเพื่อสุขภาพที่สำคัญๆ อาทิ “โครงการส่งเสริมไต้หวันสุขภาพดี” , “แนวทางการรักษามะเร็ง 3 มิติ” “โครงการป้องกันภัยเงียบ ที่เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูงและไขมันในเลือดสูง” , “การแพทย์อัจฉริยะ” และ “โครงการดูแลผู้สูงวัย เวอร์ชัน 3.0”
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า สุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นค่านิยมสากล ซึ่งมีส่วนเกี่ยวโยงกับความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ ในอนาคตยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมวลมนุษยชน ทั้งโรคเรื้อรัง , โรคมะเร็ง , โรคระบาดแบบข้ามพรมแดน , เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงสังคมเด็กเกิดน้อยและสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยการผนึกกำลังร่วมกันของภาคประชาชนในสังคม พวกเรามีความเชื่อมั่นว่า จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ และพวกเรามีความยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์ผ่านการแลกเปลี่ยนกับประชาคมโลก เพื่อร่วมกันเสริมสร้างสวัสดิการด้านสุขภาพให้แก่มวลมนุษยชาติอย่างยั่งยืนสืบไป