New Southbound Policy Portal

ปธน.ไล่ชิงเต๋อเข้าร่วม “การประชุมว่าด้วยการสร้างเสริมไต้หวันสุขภาพดีด้วยความยืดหยุ่นทางการแพทย์ ที่จัดขึ้นโดยสมาคมโรงพยาบาลภาครัฐในไต้หวัน (PHA)”

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 21 ธ.ค. 68

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “การประชุมว่าด้วยการสร้างเสริมไต้หวันสุขภาพดีด้ วยความยืดหยุ่นทางการแพทย์ ที่จัดขึ้นโดยสมาคมโรงพยาบาลภาครัฐในไต้หวัน (Taiwan Public Hospital Association, PHA)” โดยปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า โรงพยาบาลภาครัฐแบกรับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านการป้องกันโรคระบาด การแพทย์ในพื้นที่ชนบทและสถานการณ์ทางสาธารณสุขที่สำคัญ จึงจะเห็นได้ว่า รพ.ภาครัฐสวมบทบาทที่สำคัญในการปกป้องรักษาสุขภาพของไต้หวัน โดยรัฐบาลไต้หวันจะเดินหน้าดำเนินการผลักดันภารกิจใน 4 มิติหลักอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย (1) การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการบริการทางการแพทย์ (2) การบ่มเพาะบุคลากร (3) การบูรณาการข้อมูลการวินิจฉัยทางการแพทย์ และ (4) การสร้างหลักประกันความยั่งยืนทางการแพทย์ เป็นต้น ควบคู่ไปกับการผลักดัน “โครงการส่งเสริมไต้หวันสุขภาพดี” (Healthy Taiwan Cultivation Plan) และ “แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ” (Drug Resilience Program) ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของกลไกการแพทย์ไต้หวันในรูปแบบที่ครอบคลุม
 
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า โรงพยาบาลภาครัฐมีระบบการบริการที่ครอบคลุมและรัดกุม สำแดงให้เห็นศักยภาพการปกป้องดูแลสุขภาพของภาคประชาชนอย่างเต็มกำลังในทุกวัน และมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกันกับโรงพยาบาลภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ระบบของรพ.ภาครัฐและภาคเอกชน ยังมีบางส่วนที่แตกต่างกัน เนี่องจากจำเป็นต้องขานรับต่อมาตรการทางการแพทย์ในด้านการป้องกันโรคระบาดหรือการแพทย์ในพื้นที่ชนบท อาทิ ในช่วงระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส SARS หรือสถานการณ์การแพร่ระบาของเชื้อไวรัส Covid – 19 รพ.ภาครัฐต่างสวมบทบาทหน้าที่ในการนำทัพจัดตั้งห้องแยกชนิดแรงดันลบ (Negative Room Pressure)
 
เป้าหมายของรพ.ภาครัฐคือการสร้างเสริมไต้หวันสุขภาพดี โดยรัฐบาลจะมุ่งดำเนินการภารกิจใน 4 มิติหลัก ประกอบด้วย :

(1) การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการบริการทางการแพทย์ ประกอบด้วย การจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพเพิ่มเติม ซึ่งในปีนี้คาดการณ์ไว้สูงถึง 5.5% เมื่อรวมกับงบประมาณของภาครัฐ 18,100 ล้านเหรียญไต้หวันในปีนี้ และ 19,900 ล้านเหรียญไต้หวันในปีหน้า อาจส่งผลกระตุ้นให้งบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยรวมในปี 2569 สร้างมูลค่าสูงถึง 1,820,000 ล้านเหรียญไต้หวัน ซึ่งจะทำให้กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ (MOHW) สามารถดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียมกันสำหรับตำแหน่งงานต่างๆ โดยบุคลากรในสถานพยาบาลจะได้รับการปรับอัตราค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยังจะจัดเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษให้แก่ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากรการแพทย์ในรพ.ภาครัฐ  

(2) เดินหน้าพัฒนาศักยภาพการบริการทางการแพทย์และการบ่มเพาะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะปรับอัตราค่าตอบแทนสำหรับตำแหน่งงานที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บุคลากรในแต่ละแผนกสาขาต่างๆ แล้ว ยังจะเดินหน้าผลักดันภารกิจการเสริมสร้างความยืดหยุ่น การปรับปรุงเงื่อนไขการทำงานและการบ่มเพาะบุคลากร ควบคู่ไปด้วย
 
(3) การบูรณาการข้อมูลการวินิจฉัยทางการแพทย์ของศูนย์การแพทย์ทั่วประเทศ , สถานพยาบาลในภูมิภาค , สถานพยาบาลและคลินิกในพื้นที่ การที่ผลสัมฤทธิ์ด้านการป้องกันโรคระบาดโควิด – 19 ในไต้หวัน ประสบผลสำเร็จ เป็นผลอันเนื่องมาจากระบบประกันสุขภาพของไต้หวัน ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ กว่าร้อยละ 99% ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างการผลักดันมาตรการป้องกันโรคระบาด ทางการจึงสามารถจัดระบบข้อมูลของภาคประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ ประกอบกับการบริการทางการแพทย์รูปแบบอัจฉริยะที่ครอบคลุม เชื่อว่าจะสามารถส่งเสริมให้ประสิทธิภาพและคุณภาพทางการแพทย์ ได้รับการยกระดับไปสู่อีกขั้นที่สูงขึ้น
 
(4) ความรับผิดชอบทางสังคมและความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพ
รัฐบาลได้ยื่นเสนอ “โครงการส่งเสริมไต้หวันสุขภาพดี” โดยวางแผนที่จะอัดฉีดงบประมาณจำนวน 48,900 ล้านเหรียญไต้หวัน ภายในระยะเวลา 5 ปีในการบ่มเพาะบุคลากร , ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการบริการทางการแพทย์ , การแพทย์อัจฉริยะ , ความรับผิดชอบต่อสังคมและจิตวิญญาณความยั่งยืนทางการแพทย์ เป้นต้น
 
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดวางงบประมาณจำนวน 24,000 ล้านเหรียญไต้หวันในการผลักดัน “แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ” โดยมีกำหนดระยะเวลาการดำเนินการเป็นเวลา 4 ปี มุ่งเน้นไปในทิศทางที่ครอบคลุม ทั้งวัตถุดิบ , การผลิต , การเก็บรักษาและระบบจ่ายยาอัจฉริยะ พร้อมทั้งเชื่อมโยงสู่เวทีนานาชาติ
 
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีแผนการที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ยา วัสดุทางการแพทย์และการบริการทางการแพทย์ ให้แก่กลุ่มประเทศพันธมิตรและบรรดามิตรประเทศในอนาคต ผ่าน “หนึ่งประเทศ หนึ่งระบบ” ที่รับผิดชอบควบคุมดูแลโดยแต่ละสถานพยาบาล ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับความยืดหยุ่นของประเทศชาติ สังคมและภาคประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมของไต้หวัน และวางรากฐานไปสู่เวทีนานาชาติอีกด้วย