New Southbound Policy Portal
สภาบริหารและกรมการท่องเที่ยว วันที่ 26 ธ.ค. 68
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา นางเติ้งลี่จวิน รองนายกรัฐมนตรีไต้หวัน ทำหน้าที่เป็นประธานใน “การประชุมที่ปรึกษาด้านการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายใต้สภาบริหาร ครั้งที่ 4” โดยรองนรม.เติ้งฯ กล่าวว่า การท่องเที่ยวถือเป็นแนวทางสำคัญที่ส่งเสริมให้ไต้หวันพัฒนาไปสู่ทิศทางที่เจริญก้าวหน้า และเป็นการส่งเสริมให้ประชาคมโลกมองเห็นไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งความสุข (Happiness Industry) ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น
รองนรม.เติ้งฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้งการประชุมข้างต้นขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2568 เป็นต้นมา พวกเรายืนหยัดจิตวิญญาณ “การประสานความร่วมมือแบบข้ามหน่วยงาน การเสวนาระหว่างภาคอุตสาหกรรม และการเข้าร่วมของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ” ในการจัดตั้งสะพานความร่วมมือและเปิดการเสวนา โดยการประชุมที่จัดขึ้น ไม่เพียงแต่จะเป็นการร่างพิจารณาแผนปฏิบัติการเท่านั้น แต่ยังเป็นการร่วมระดมสมองในการแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอีกด้วย
ในระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2568 ยอดนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าสู่ไต้หวัน มีจำนวนกว่า 7.624 ล้านคนครั้ง แม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มีอัตราการเติบโตขึ้นร้อยละ 9.64% จากปีที่แล้ว ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางมาเยือนไต้หวัน ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต่างก็มีสัดส่วนที่เพิ่มพูนมากขึ้น
รองนรม.เติ้งฯ ระบุว่า โครงการต่างๆ ที่ร่างพิจารณาโดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคม หวังที่จะเดินหน้าพิชิตเป้าหมายหลักว่าด้วย “การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” ควบคู่ไปกับการบูรณาการด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวให้เป็นกระแสหลัก โดยหวังที่จะจับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ , การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม , การท่องเที่ยวเชิงนันทนาการ , ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบอุตสาหกรรมไมซ์ และอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวในไต้หวัน พร้อมกันนี้ ยังได้มีการยื่นเสนอ “โครงการสำคัญด้านการท่องเที่ยวตามเส้นทางแห่งเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์และพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของไต้หวัน” (The Northern Tropic of Cancer Flagship Project - Smiling South Bay in Taiwan) และ“โครงการการพัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยวด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.0” (Sustainable Tourism Scenic Area Highlights Flagship Project 2.0) ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการที่มีระยะเวลารวม 4 ปี โดยสภาบริหารจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสภาพแวดล้อมการท่องเที่ยว และแสวงหาอัตลักษณ์ของไต้หวัน ในการบอกเล่าสู่ประชาคมโลก
รองนรม.เติ้งฯ ระบุว่า ในปี 2569 สภาบริหารมีกำหนดการจัดตั้ง “สถาบันฝึกอบรมด้านการท่องเที่ยวไต้หวัน” โดยหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นทุกหน่วยงานประสานความร่วมมือกัน สรรสร้างไต้หวันให้เป็นสถานที่ที่เพียบพร้อมด้วยการบริหารที่ยั่งยืน มีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร และเปี่ยมด้วยการท่องเที่ยวเชิงสัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งสถาบันแห่งนี้มีกำหนดการจัดตั้งขึ้นในปี 2569 โดยจะประสานความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการผลักดันการประชาสัมพันธ์ , การร่างนโยบายการท่องเที่ยวและการบ่มเพาะบุคลากรที่ได้รับการรับรอง เป็นต้น
สถาบันข้างต้นถือเป็นหนึ่งในคำมั่นสำคัญ ภายใต้ “โครงการความหวังของประเทศชาติ” ที่ยื่นเสนอโดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากนายกรัฐมนตรีจั๋วหรงไท่ ด้วยการกำหนดให้เป็น “คลังสมองระดับชาติ” เพื่อดำเนินการวางแผนผลักดันและพัฒนาไปสู่แบรนด์การท่องเที่ยวระดับชาติบนเวทีนานาชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวอย่างครอบคลุม โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการจัดพิธีเปิดป้ายอย่างเป็นทางการ ก่อนเดือนกรกฎาคม 2569
สำหรับสถานการณ์ความคืบหน้าของ “โครงการสำคัญด้านการท่องเที่ยวตามเส้นทางแห่งเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์และพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของไต้หวัน” รองนรม.เติ้งฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอให้ประชาคมโลก มองเห็นความหลากหลายของระบบนิเวศและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของไต้หวัน โดยจำเป็นต้องบูรณาการทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการวางแผน ผลักดันและประชาสัมพันธ์ เชื่อมโยงเรื่องราวทางวัฒนธรรม , ภูมิทัศน์ทางนิเวศวิทยา , การท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล และอาหารเลิศรสเข้าไว้ด้วยกัน
รองนรม.เติ้งฯ ระบุว่า โครงการข้างต้นวางแผนให้ “เจียอี้” “เผิงหู” และ “ฮัวเหลียน” เป็นฐานทดลองการดำเนินภารกิจเป็นอันดับต้นๆ และมีกำหนดการพัฒนาให้แล้วเสร็จก่อนปี 2572 เพื่อก่อเกิดเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ด้านการท่องเที่ยวในไต้หวัน
เพื่อขานรับแนวโน้มการท่องเที่ยวระดับโลก กรมการท่องเที่ยวจึงได้จัด “การประชุมที่ปรึกษา ภายใต้โครงการ “การท่องเที่ยวตามเส้นทางแห่งเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์และพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ของไต้หวัน” โดยได้รวบรวมเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย , กระทรวงวัฒนธรรม , กระทรวงเกษตร และผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม เข้าร่วม อภิปรายเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไต้หวัน มีศักยภาพทางการแข่งขันในระดับนานาชาติ ด้วยเหตุนี้ กรมการท่องเที่ยวจึงได้วางกลยุทธ์ “การพัฒนาซอฟต์แวร์” โดยจะบูรณาการทรัพยากรแบบข้ามหน่วยงาน และรวบรวมเรื่องราวในเขตพื้นที่ภูเขาและทะเลที่มีเอกลักษณ์ของไต้หวัน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวแผ่ขยายไปสู่พื้นที่ชุมชน และส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจอย่างไม่สิ้นสุด
คุณอาจไม่ทราบว่า เส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์ พาดผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกที่เป็นทะเลทราย แต่ในไต้หวันกลับสามารถพบเห็นผืนป่าเขียวชอุ่ม และลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่าง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเล 0 เมตร ไปจนถึงยอดเขาสูง 3,952 เมตร ซึ่งก่อให้เกิดระบบนิเวศและวัฒนธรรมที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ซึ่งโครงการข้างต้นเชื่อมโยงเขตภูเขาอาลีซาน เมืองเจียอี้ ไปจนถึงยอดเขาอวี้ซาน และหุบเขาฮัวเหลียน – ไถตง นักท่องเที่ยวสามารถโดยสารรถไฟเส้นทางป่าไม้ เข้าเยี่ยมชมภูมิทัศน์ทางธรรมชาติตั้งแต่ในตัวเมืองไปจนถึงยอดเขาสูง
ส่วนน่านน้ำทะเลสีครามในพื้นที่ทางตอนใต้ มุ่งเน้นพลังแห่งการเยียวยาของไต้หวันในพื้นที่ทางตอนใต้ นอกเหนือจากแสงแดดและชายหาดแล้ว ยังนำเสนอให้เห็นการฟื้นฟูประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเกลือในพื้นที่หยุนหลิน-เจียอี้-ไถหนาน ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 300 ปี เพื่อเพิ่มนัยยะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประกอบกับการบูรณาการทรัพยากรจากอ่าวต้าเผิงวัน , คาบสมุทรเหิงชุนในเมืองผิงตง , เกาะเผิงหูและเกาะลวี่เต่า ด้วยการผลักดันการท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์ กิจกรรมดำน้ำและการท่องเที่ยวยามค่ำคืน โดยในอนาคต พื้นที่เลียบชายฝั่งในพื้นที่ทางภาคใต้จะกลายเป็น “แดนสวรรค์แห่งการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์” ที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวในการผ่อนคลายและใช้เวลาร่วมกัน
กรมการท่องเที่ยวจะสวมบทบาทเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการทรัพยากรในระดับภูมิภาค โดยจะรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในการจัดตั้ง “ทีมชาติด้านการท่องเที่ยว” ซึ่งจะทำการเชื่อมโยงทรัพยากรแบบข้ามหน่วยงานอย่างกระตือรือร้นต่อไป
การประชุมในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมหลายท่านต่างให้การยอมรับต่อกรมการท่องเที่ยว ที่เดินหน้าผลักดันภารกิจในทิศทาง “การยกระดับคุณภาพ” โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญชี้แจงว่า สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการคือ “การสัมผัสประสบการณ์” มิใช่เพียงการเยี่ยมชม “โครงสร้างพื้นฐาน” เพราะฉะนั้นจึงควรที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้วยการจัดให้มีจุดบริการภาษาต่างประเทศ การให้บริการรับส่งตามจุดสถานที่ท่องเที่ยวและการออกแบบโปรแกรมการท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้การบริการด้านซอฟต์แวร์สอดรับต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแนบชิดเพิ่มมากขึ้น