ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
รองปธน.ระบุ ทุกคนมีสิทธิ์และโอกาสที่จะรับรู้ความจริง ความปรองดองเริ่มจากการเข้าใจความจริง
แหล่งที่มาของข้อมูล Office of the President
2018-12-10

“พิธีประกาศเพิกถอนคำตัดสินคดีอาญาที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายระลอกที่ 2 และกิจกรรมรำลึกวันสิทธิมนุษยชนโลก 2018” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติสาขาจิ๋งเหม่ย รอง ปธน.เฉินเจี้ยนเหริน (ที่ 3 จากขวา) ร่วมพิธีพร้อมญาติผู้เคราะห์ร้าย สำนักข่าว CNA วันที่ 9 ธ.ค.61

“พิธีประกาศเพิกถอนคำตัดสินคดีอาญาที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายระลอกที่ 2 และกิจกรรมรำลึกวันสิทธิมนุษยชนโลก 2018” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติสาขาจิ๋งเหม่ย รอง ปธน.เฉินเจี้ยนเหริน (ที่ 3 จากขวา) ร่วมพิธีพร้อมญาติผู้เคราะห์ร้าย สำนักข่าว CNA วันที่ 9 ธ.ค.61

รองปธน.ระบุ ทุกคนมีสิทธิ์และโอกาสที่จะรับรู้ความจริง ความปรองดองเริ่มจากการเข้าใจความจริง

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 9 ธ.ค. 61

นายเฉินเจี้ยนเหริน รองประธานาธิบดีไต้หวัน สาธารณรัฐจีนกล่าวชี้แจงขณะเป็นประธานในพิธีเปิด “กิจกรรมรำลึกวันสิทธิมนุษยชนโลก 2018” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า ภารกิจการเปลี่ยนผ่านความยุติธรรม นอกจากจะเป็นการคืนความยุติธรรมให้แก่คดีความที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นการนำเสนอความจริงในประวัติศาสตร์ พร้อมแยกแยะความรับผิดชอบ จากนั้นจึงจะสามารถเริ่มดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคม ตลอดจนเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นโดยให้การศึกษาด้านประวัติศาสตร์และสิทธิมนุษยชน

 

รองปธน.เฉินเจี้ยนเหรินระบุว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ70 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เราได้จัด ”พิธีประกาศเพิกถอนคำตัดสินคดีอาญาที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายระลอกที่ 2” นับว่ามีความหมายยิ่งใหญ่

 

รองผู้นำไต้หวันยังระบุว่า วันที่ 5 ธ.ค. 2018 นับว่าเป็นวันที่ไต้หวันก้าวไปสู่เส้นทางการเปลี่ยนผ่านความยุติธรรมก้าวแรก โดยในวันนั้นได้มีการประกาศเพิกถอนคำตัดสินคดีอาญาที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายในยุคความสยองขวัญสีขาวภายใต้การปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ซึ่งมีผู้ต้องหารวม 1,270 คน

 

ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ภายใต้ความพยายามของคณะกรรมการความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน การประกาศยกเลิกคำตัดสินระลอกที่ 2 นี้ ยังรวมถึงผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายรวม 1,505 รายด้วย อีกทั้งได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยกับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นชนพื้นเมือง 27 รายและมีการชดใช้เยียวยาเป็นอย่างดีอีก 5 ราย

 

รองปธน.เฉินเจี้ยนเหรินกล่าวว่า จากความพยายามเป็นเวลาหลายสิบปี ในที่สุดรัฐบาลสามารถผลักดันให้ผ่านกฎหมายการเปลี่ยนผ่านความยุติธรรมและจัดตั้ง ”คณะกรรมการคืนความยุติธรรมทางประวัติศาสตร์และความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ทำเนียบประธานาธิบดี ”(Presidential Office Indigenous Historical Justice and Transitional Justice Committee ) ขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง พิพิธภัณฑ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยหวังว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจความจริงในประวัติศาสตร์ แยกแยะความรับผิดชอบ และเสริมสร้างความปรองดองในสังคมเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส

 

รองปธน.เฉินเจี้ยนเหรินชี้ว่า นอกจากผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นชนพื้นเมืองแล้ว ”ประกาศเพิกถอนคำตัดสินคดีอาญาที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย” ครั้งนี้ ยังได้เพิกถอนคำตัดสินผู้เคราะห์ร้ายในช่วงระหว่างปี 1951-1952 จำนวน 1,000 กว่ารายอีกด้วย

 

รองผู้นำไต้หวันแสดงความเห็นว่าการเพิกถอนคำตัดสิน มีจุดประสงค์เพื่อปลด “ตราบาป”ทางกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมออกไป เป็นการคืนความบริสุทธิ์ทางกฎหมายให้แก่ผู้เคราะห์ร้ายแม้ว่าหลายคนจะลาโลกไปก่อนที่แสงสว่างแห่งความยุติธรรมจะสาดล่องลงมา แต่เราก็ควรจะขจัดอุปสรรคต่างๆ เพื่อคืนความยุติธรรมและล้างมลทินให้ผู้แก่คนเหล่านี้

 

รองผู้นำไต้หวันย้ำว่า ไต้หวันเป็นประเทศที่รักความชอบธรรม มีเมตตา และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ในช่วงที่ไร้ความยุติธรรมนี้ ภารกิจการเปลี่ยนผ่านความยุติธรรม นอกจากจะเป็นการคืนความยุติธรรมให้แก่คดีความที่ถูกพิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นการนำเสนอความจริงในประวัติศาสตร์ พร้อมแยกแยะความรับผิดชอบ จากนั้นจึงจะสามารถเริ่มดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมตลอดจนเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้น โดยให้การศึกษาด้านประวัติศาสตร์และสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ทุกคนสามัคคีกัน ปกป้องประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชนของไต้หวัน เพื่อให้ไต้หวันกลายเป็นประภาคารส่องนำทางให้แก่สิทธิมนุษยชนของภูมิภาคเอเชีย

 

ในตอนท้ายรองปธน.เฉินเจี้ยนเหรินแสดงความหวังว่า คณะกรรมการความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านต้องยืนหยัดปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงตามที่ประเทศชาติและประชาชนคาดหวังด้วยความเป็นมืออาชีพและความรอบคอบระมัดระวัง อีกทั้งยังหวังว่า ในอนาคตไต้หวันจะเป็นประเทศที่ทุกคนมีสิทธิ์และโอกาสที่จะรับรู้ความจริง อันจะส่งผลให้เกิดความปรองดองกันในสังคมสืบไป