เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยเผยรายงานผลสำรวจ ความต้องการในด้านการดำรงชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ประจำปี 2018 (ภาพจาก CNA)
กระทรวงมหาดไทยไต้หวัน วันที่ 11 มี.ค. 63
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เผยรายงานผลสำรวจความต้องการในด้านการดำรงชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ประจำปี 2018 ซึ่งผลปรากฎว่า ร้อยละ 89.8 ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มีความพึงพอใจต่อชีวิตการทำงานในปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 13.9 เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน โดยภาพรวมแล้ว ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมไต้หวันได้ดียิ่งขึ้น และเริ่มอุทิศตนเพื่อตอบแทนต่อสังคม ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของการพัฒนาในประเทศ
กระทรวงมหาดไทย แถลงว่า ตราบจนปัจจุบัน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันมีจำนวนสูงถึง 5.6 แสนคน เพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ความต้องการในการดำรงชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ได้มีการจัดสำรวจความต้องการในด้านการดำรงชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทุกๆ 5 ปี ซึ่งการสำรวจในครั้งนี้ มีกลุ่มตัวอย่างที่มีผลสำหรับใช้ในการวิเคราะห์จำนวนกว่า 18,000 ราย โดยผลการสำรวจพบว่า ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเข้าร่วมการประกันสุขภาพ รายได้ของครัวเรือน และการเข้ามีส่วนร่วมในมาตรการดูแลให้ความช่วยเหลือ ต่างมีการปรับปรุงที่ดียิ่งขึ้น
ผลการสำรวจในครั้งนี้ระบุให้เห็นว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ส่วนใหญ่ในไต้หวัน เป็นคนหนุ่มสาวอายุราว 35 - 44 ปี คิดเป็นร้อยละ 47.3 และส่วนมากทำงานในภาคบริการเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 59.6 ด้านสัดส่วนการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 70.92 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าชาวไต้หวันที่อยู่ที่ร้อยละ 59.19 นอกจากนี้ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 หรือเพิ่มขึ้น 6,401 เหรียญไต้หวัน เมื่อเที่ยบกับปี 2013
ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า ภายใต้มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดโอกาสการจ้างงานผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ส่งผลให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เกิดความพึงพอใจต่อชีวิตการทำงานในปัจจุบัน ซึ่งมีอัตราความพึงพอใจสูงถึงร้อยละ 89.8 ประกอบกับจำนวนผู้ถือใบอนุญาตทางเทคนิค เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 ในปี 2013 เป็นร้อยละ 6.1 ในปี 2018 นอกจากนี้ จำนวนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัว ครองสัดส่วนร้อยละ15.9 โดยพวกเขาคาดหวังว่า ในอนาคตรัฐบาลจะเสนอความช่วยเหลือด้วยการให้กู้ยืมเงินลงทุน และจัดหลักสูตรการฝึกอบรมทางวิชาชีพ เป็นต้น
จากผลสำรวจยังพบว่า ร้อยละ 97 ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้รับสิทธิในหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไต้หวัน ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2013 กว่าร้อยละ 7.5
ในตอนท้าย กระทรวงมหาดไทยไต้หวันระบุว่า จากผลการสำรวจครั้งนี้ จะสังเกตเห็นได้ว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมไต้หวันได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับผลการสำรวจใน 3 ครั้งที่ผ่านมา นอกจากครอบครัวและการทำงานแล้ว ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการตอบแทนคืนสู่สังคม โดยหวังว่าจะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมตามกำลังของตน กลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่สำคัญในท้องถิ่น ในการร่วมส่งเสริมให้สังคมและวัฒนธรรมของไต้หวัน มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น