ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับ H. E. Russell Dlamini นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเอสวาตินีและภริยา
2024-03-20
New Southbound Policy。ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับ H. E. Russell Dlamini นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเอสวาตินีและภริยา (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับ H. E. Russell Dlamini นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเอสวาตินีและภริยา (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 19 มี.ค. 67
 
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 มีนาคม ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้การต้อนรับ H. E. Russell Dlamini นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเอสวาตินีและภริยา โดยปธน.ไช่ฯ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณรัฐบาลเอสวาตินีที่ให้การสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างหนักแน่นเสมอมา พร้อมระบุว่า หลายปีมานี้ ไต้หวัน – เอสวาตินีได้ขยายขอบเขตทางความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านพลังงาน การเกษตร สาธารณสุข เศรษฐกิจ การค้าและการเสริมสร้างศักยภาพสตรี เป็นต้น โดยจะเห็นได้จากเมื่อปีที่แล้ว ในระหว่างที่ปธน.ไช่ฯ เดินทางเยือนเอสวาตินี ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือกองทุนหมุนเวียนสินเชื่อขนาดเล็กสำหรับการประกอบธุรกิจของสตรี” และ“ความตกลงว่าด้วยการผูกสัมพันธ์เป็นเมืองพี่เมืองน้อง ระหว่างนครเกาสง - กรุงอึมบาบานี” รวมไปถึงการประสานความร่วมมือในการจัดตั้งคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ในเอสวาตินี เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัท Overseas Investment & Development Corp. (OIDC) ของไต้หวัน และ บริษัท  Eswatini National Petroleum Company (ENPC) ของเอสวาตินี  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยยกระดับการพัฒนาสภาพแวดล้อมของเอสวาตินีให้ดียิ่งขึ้น
 
ปธน.ไช่ฯ แสดงความขอบคุณต่อเอสวาตินีที่มุ่งให้การสนับสนุนไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศอย่างหนักแน่นมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณต่อนรม. Russell ที่เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกตระหนักเห็นถึงการสร้างคุณประโยชน์ของไต้หวัน ในด้านการรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระหว่างการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (UNFCCC COP 28) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมในกลไกการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุม เพื่อร่วมกันอุทิศคุณประโยชน์ให้แก่ประชาคมโลกต่อไป
 
ปธน.ไช่ฯ เน้นย้ำว่า ในอนาคต ไต้หวัน – เอสวาตินีจะแสวงหาโอกาสความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน และเพื่อจับมือกันพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองให้แก่โลกต่อไป
 
ลำดับต่อมาเป็นการกล่าวปราศรัยของนรม. Russell โดยนรม. Russell กล่าวว่า ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนไต้หวันครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ตนขึ้นดำรงตำแหน่ง โดยหวังที่จะอาศัยโอกาสนี้แสดงจุดยืนว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งได้รับการให้ความสำคัญอย่างท่วมท้นจากพระราชวงศ์เอสวาตินี  เจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชนชาวเอสวาตินี ตลอดจนหวังที่จะกระชับความสัมพันธระหว่างสองประเทศให้มีความแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
 
นรม. Russell แถลงว่า ไต้หวัน – เอสวาตินีเคียงคู่เป็นประเทศพันธมิตรที่ดีต่อกันมาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เอสวาตินีมุ่งมั่นในการธำรงรักษาความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศอย่างกระตือรือร้น โดยนรม. Russell ได้ใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อไต้หวันสำหรับวิสัยทัศน์อันก้าวไกล และธารน้ำใจอันงดงามที่ไต้หวันให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาเอสวาตินี เมื่อเดือนที่แล้ว H.E. Pholile Shakantu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรเอสวาตินี ก็ได้เดินทางเยือนไต้หวันเป็นครั้งแรก โดยในระหว่างการเยือนในครั้งนั้น รมว. Pholile ก็ได้มุ่งผลักดันภารกิจการขยายขอบเขตการติดต่อประสานงานระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ
 
นรม. Russell ระบุว่า สมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3 (H.M. King Mswati Ⅲ) ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การพัฒนาของเอสวาตินีเป็นอย่างมาก และหวังที่จะเห็นระบบเศรษฐกิจของเอสวาตินีเชื่อมโยงสู่เวทีนานาชาติได้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา สมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3  ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งดำเนินการด้านการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และจัดวางตารางเวลาในการจัดตั้งคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ภายในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา นอกจากนี้ ในด้านการแพทย์ เอสวาตินีหวังที่จะส่งเสริมกลไกการบริการทางการแพทย์ที่เปี่ยมคุณภาพและประชาชนต่างสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของไต้หวันได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในด้านนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เอสวาตินียังได้ให้สำคัญต่อโครงการการจัดตั้งศูนย์การประชุมนานาชาติและโรงแรมระดับห้าดาว ซึ่งต่างก็ได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจากไต้หวัน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการเหล่านี้จะสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของระบบเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งคาดว่าโครงการเหล่านี้จะนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจในสัดส่วนร้อยละ 5  และเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาความยากจนและปัญหาการว่างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
นรม. Russell ได้แสดงความขอบคุณต่อปธน.ไช่ฯ ที่ให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือแบบทวิภาคี ระหว่างไต้หวัน – เอสวาตินี นานับประการ  โดยนรม. Russell หยิบยกกรณีตัวอย่างของโครงการการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ชนบท ที่ไต้หวันมุ่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทของเอสวาตินี สามารถเข้าถึง การใช้พลังงานไฟฟ้าได้ ตราบจนปัจจุบัน  ร้อยละ 85 ของประชากร ต่างสามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในกลุ่มประเทศภูมิภาคแอฟริกา ในส่วนของการประกอบอาชีพของกลุ่มเยาวชนเอสวาตินี ไต้หวันนอกจากจะส่งมอบทุนการศึกษา เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเอสวาตินี เดินทางมาเข้ารับการศึกษาในสถาบันระดับอุดมศึกษาในไต้หวันแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ ยังได้มีการผลักดันโครงการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ภาคประชาชนชาวไต้หวันโดยบุคลากรชาวเอสวาตินีอีกด้วย
 
นรม. Russell ระบุว่า ความช่วยเหลือที่ไต้หวันส่งมอบให้ในระหว่างสถานการณ์โรคโควิด – 19 ได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนชาวเอสวาตินีเป็นจำนวนมาก อันจะเห็นได้จากการที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไทเป (Taipei Medical University Hospital, TMUH) และศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคระบาด (CECC) ร่วมกันจัดตั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันโรคระบาด ภายใต้ชื่อ “Taiwan We Go Team” ได้ร่วมสำแดงบทบาทสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ความยากลำบากของการแพร่ระบาดโรคโควิด – 19 ในเอสวาตินี
 
นรม. Russell แถลงว่า อีก 2 เดือน ปธน.ไช่ฯ ก็จะครบวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว จึงอยากใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อปธน.ไช่ ที่ให้การสนับสนุนเอสวาตินีอย่างหนักแน่นและได้สร้างคุณประโยชน์มากมายในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของเอสวาตินี ตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง  โดยวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ นอกจากจะร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบ 56 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไต้หวัน - เอสวาตินีแล้ว ก็ยังต้องการที่จะแสดงให้ทราบว่า ปธน.ไช่ฯ เป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของพวกเรา และจะยังคงตราตรึงอยู่ในใจของประชาชนชาวเอสวาตินีไปตราบนานเท่านาน