กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 1 พ.ค. 67
เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวนิกเกอิ (Nikkei) และนิกเกอิเอเชีย (Nikkei Asian) โดยเนื้อหาบทสัมภาษณ์ได้ถูกตีพิมพ์ผ่านเว็บไซต์ข่าวและหนังสือพิมพ์นิกเกอิ เมื่อวันที่ 1 พฏษภาคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “รมว.กต.ไต้หวัน แถลงว่า ไต้หวันจะหารือกับมิตรประเทศเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่ไต้หวันจะถูกจีนปิดล้อม” และ “ไต้หวันยกย่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องปรามการรุกรานจากจีน”
รมว.อู๋ฯ ชี้แจงประเด็นที่ต่างประเทศคาดการณ์เกี่ยวกับระยะเวลาที่จีนจะโจมตีไต้หวันด้วยกำลังทหารว่า หลายปีมานี้ แม้ว่าศักยภาพทางการทหารของจีนจะทวีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น แต่ศักยภาพทางเศรษฐกิจกลับถดถอยลง ผู้นำจีนมัวแต่เฝ้าจับตาปัญหาภายในประเทศ ในปัจจุบันทุกฝ่ายยังไม่พบร่องรอยการเตรียมการรุกรานไต้หวันของกองทัพจีนคอมมิวนิสต์แต่อย่างใด
รมว.อู๋ฯ ตอบข้อซักถามว่า ความเป็นไปได้ในการที่จีนจะประกาศใช้มาตรการปิดล้อมไต้หวัน เป็นประเด็นที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ด้วยเหตุนี้ ไต้หวันจึงมุ่งเสริมสร้างกลไกการจัดเตรียมเสบียงอาหาร พลังงานและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างขีปนาวุธไว้ให้เพียบพร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความทรหดในการรับมือ อย่างไรก็ตาม การปิดล้อมประเทศถือเป็นพฤติกรรมการเตรียมการก่อสงครามในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ จากการที่ปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบไต้หวันครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 50 ของโลก ประกอบกับไต้หวันตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมทางอากาศระหว่างประเทศที่สำคัญ อีกทั้งอุปทานของแผ่นชิปร้อยละ 60 และแผ่นชิปขั้นสูงมากกว่าร้อยละ 90 ถูกผลิตขึ้นในไต้หวัน หากจีนประกาศใช้มาตรการปิดล้อมต่อไต้หวัน อาจก่อให้เกิดวิกฤตการปิดเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลให้ประชาคมโลกเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรง
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวันมิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด และก็มิใช่จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศประชาธิปไตย เพื่อสกัดกั้นการแผ่ขยายของอำนาจเผด็จการ
รมว.อู๋ฯ แสดงความชื่นชมในความพยายามของญี่ปุ่นในอันที่จะธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ซึ่งรวมไปถึง การเข้าร่วม “กรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (QUAD)” ในขณะเดียวกันยังมีการหารือในประเด็นที่ 2 กับหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคงระหว่างออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ (AUKUS) นอกจากนี้ อังกฤษ แคนาดาและสหภาพยุโรป (EU) ต่างมีการทบทวนแผนยุทธศาสตร์อินโด - แปซิฟิก และการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับไต้หวัน โดยการประชุมสุดยอดและการประชุมนานาชาติที่สำคัญ ต่างก็เน้นย้ำว่า สันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน มีความสำคัญต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของโลก ประกอบกับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันต่างดำเนินปฏิบัติ
การเสรีภาพในการเดินเรือในช่องแคบไต้หวัน เพื่อสร้างหลักประกันด้านสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค พวกเราชาวไต้หวันรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับการสนับสนุนที่กลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันมีต่อไต้หวัน
รมว.อู๋ฯ เน้นย้ำว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีมานี้ ไต้หวันภายใต้การนำของปธน.ไช่ฯ ได้ก้าวสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สำคัญที่ได้รับการยอมรับในประชาคมโลก ซึ่งแตกต่างกับจีนที่ใช้ลัทธิอำนาจนิยมโดยสิ้นเชิง อีกทั้งไต้หวันยังสวมบทบาทสำคัญในระบบห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วโลก และได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่หลายประเทศ กลายเป็น “พลังแห่งความดี” ของประชาคมโลก เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากจีน ไต้หวันยังคงยึดมั่นในทัศนคติที่อ่อนโยนแต่มีจุดยืนที่แน่ชัดและรับผิดชอบ ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการยั่วยุ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างแสนยานุภาพการป้องกันประเทศด้วยตนเอง เพื่อสกัดกั้นการรุกรานจากจีน นายไล่ชิงเต๋อ ว่าที่ประธานาธิบดี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) คนใหม่ ได้ประกาศว่าจะยึดมั่นนโยบายเดิม เพื่อมุ่งปกป้องสถานภาพเดิมในปัจจุบันของช่องแคบไต้หวัน เชื่อว่าไต้หวันจะก้าวสู่การเป็นหุ้นส่วนสำคัญของพันธมิตรด้านประชาธิปไตย ในการรับมือกับอำนาจเผด็จการให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป
