ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
ปธน.ไล่ชิงเต๋อเข้าร่วมพิธีประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ประจำปี พ.ศ. 2568
2025-12-16
New Southbound Policy。ปธน.ไล่ชิงเต๋อเข้าร่วมพิธีประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ประจำปี พ.ศ. 2568 (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)
ปธน.ไล่ชิงเต๋อเข้าร่วมพิธีประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ประจำปี พ.ศ. 2568 (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)

ทำเนียบประธานาธิบดีและกระทรวงพัฒนาดิจิทัล วันที่ 14 ธ.ค. 68

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน ได้เข้าร่วม “พิธีประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ประจำปี พ.ศ. 2568” โดยปธน.ไล่ฯ ได้ให้การชื่นชมยอมรับต่อทีมที่ได้รับรางวัลประจำปีนี้ ประกอบด้วย “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศ” (Domestic Track) จำนวน 5 กลุ่ม , ผู้ที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมการบริการเชิงสาธารณะ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และ “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ” (International Track) จำนวน 2 กลุ่ม
 
เริ่มต้น ปธน.ไล่ฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า ขอต้อนรับทุกคนเดินทางมาทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานและแบ่งปันผลสัมฤทธิ์และเกียรติยศของพิธีการประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ประจำปี 2568 โดยปธน.ไล่ฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นทีมผู้เข้าร่วมที่มาจากทั่วทุกสารทิศและจากภาคส่วนต่างๆ ยึดมั่นในสปิริต “การประสานความร่วมมือแบบข้ามพรมแดน” เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาทางสาธารณะ ด้วยการประยุกต์ใช้ข้อมูลสถิติ เทคโนโลยีและแนวคิดด้านนวัตกรรม พร้อมกันนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังระบุว่า ในปีนี้ กิจกรรมประกาศมอบรางวัล Presidential Hackathon ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มี “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศ” ที่ได้รับรางวัล รวมทั้งสิ้น 41 และ“กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ” อีกจำนวน 14 กลุ่ม ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่รวบรวมมาได้ ครอบคลุมในหลากหลายมิติ ทั้งการส่งเสริมการแพทย์คุณภาพ , การยกระดับความมั่นคงทางสังคม อีกทั้งยังรวมไปถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการแก้ไขปัญหาการจราจร เป็นต้น ซึ่งแผนข้อเสนอยอดเยี่ยมได้ปรับเปลี่ยนมาสู่นโยบายที่เป็นรูปธรรม ที่ผสมผสานเข้าสู่วิถีชีวิตประจำวันของภาคประชาชน ในการผลักดันให้ไต้หวัน พัฒนาไปสู่ความก้าวหน้า
 
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การแข่งขันของ “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศ” ประจำปีนี้ จึงได้จัดขึ้นภายใต้ธีม “การเปลี่ยนผ่านสู่ทิศทางในสองระบบ การเติบโตสีเขียว” โดยได้ติดต่อเชิญนักสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในประเทศ ยื่นเสนอแผนโซลูชันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของไต้หวัน ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของไต้หวัน ในการพิชิตสู่เป้าหมายแล้ว ยังหวังที่จะเห็นเหล่ายอดฝีมือ ทำลายกรอบจำกัดด้านนวัตกรรมรูปแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันก้าวเดินไปบนเส้นทางการพัฒนาสู่ทิศทางสีเขียวได้อย่างมีเสถียรภาพ
 
ในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ขอแสดงความยินดีกับ “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศ” ที่ได้รับรางวัล รวม 5 กลุ่ม ประกอบด้วย : (1) ทีม “ReSchool” บูรณาการกลไกการคาดการณ์จำนวนประชากร , ข้อมูลวิทยาเขตและกรณีตัวอย่างการพลิกฟื้นโรงเรียนร้าง เพื่อช่วยส่งเสริมให้เทศบาลประจำพื้นที่ การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายและการวางแผนฟื้นฟูวิทยาเขต (2) ทีม “AI-Powered Green Chemistry Diagnostic Advisor” ได้วิจัยพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยเพื่อแสวงหาทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อส่งมอบคำเตือนที่แม่นยำสำหรับสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูงและข้อชี้แนะที่ช่วยทดแทน (3) ทีม “Decarbon Strivers” ได้เฝ้าติดตามการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่วัสดุอุปกรณ์ การออกแบบ การก่อสร้างไปจนถึงการรื้อถอนและการนำกลับไปประยุกต์ใช้ เพื่อบรรลุสู่การบริหารจัดการการปล่อยคาร์บอน ตลอดวงจรชีวิตโครงการ (4) ทีม “Zha Nan” ได้แก้ไขปัญหาความท้าทายในการรีไซเคิลและการนำกลับมาประยุกต์ใช้ใหม่ ผ่านการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากกากกาแฟและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระหว่างการคมนาคมขนส่ง พิชิตสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และ (5) ทีม “The Strivers” ได้ประยุกต์ใช้ตู้เย็นอัจฉริยะและเทคโนโลยี AIoT เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งจ่ายเลือดสำรองเพื่อช่วยชีวิตผู้คนในพื้นที่ชนบทได้อย่างทันท่วงที ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมการบริการเชิงสาธารณะ CivicWorks Guardian อาศัยระบบ AI เข้าตรวจจับความผิดปกติด้านความปลอดภัยในพื้นที่ก่อสร้าง และช่วยในการตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้าง ควบคู่ไปกับการตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการแบบเรียลไทม์
 
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ของทีมผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศ ก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยในปีนี้ “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ” ได้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การสรรสร้างอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมทางดิจิทัล” (Digital Innovation for Resilience and Sustainability) โดยปธน.ไล่ฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นทีมผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศจับมือกันพัฒนาความยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและการแลกเปลี่ยนกับหุ้นส่วนนานาประเทศ ในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ได้ร่วมแสดงความยินดีกับทีม “CropNow” จากอินเดีย ที่ช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรจับทิศทางสถานการณ์ความแข็งแรงของผลผลิตทางการเกษตรได้แบบเรียลไทม์ ผ่านการบูรณาการทางเทคโนโลยี ระหว่างเซนเซอร์ตรวจจับ IoT และเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยื่นเสนอข้อชี้แนะด้านการชลประทานและการคาดการณ์การระบาดของโรคพืชผ่าน CropDesk ทั้งนี้ เพื่อช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเกษตรที่ยั่งยืน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ “Beyond Hearing” ที่เกิดจากการจับมือระหว่างไต้หวัน – ฝรั่งเศส ได้ผสมผสานเทคโนโลยี AI และ AR ในการแปลงข้อมูลเสียงให้เป็นรูปภาพ เพื่อช่วยให้ผู้พิการทางการได้ยิน รับรู้ตำแหน่งพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการสนทนา ผ่านการวิเคราะห์แหล่งที่มาและประเภทของเสียงได้อย่างทันท่วงที
 
กระทรวงพัฒนาดิจิทัลไต้หวัน แถลงว่า การแข่งขันข้างต้นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลเดินหน้าปรับปรุงนโยบาย และเป็นฐานสาธิตสำคัญที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภาคประชาสังคม