Gallery Life Seeding ซึ่งคุณกัวสูเจิน ประธานบริษัท Rich Development Inc. ได้ทำการดัดแปลงมาจากบ้านพักเก่าของ นพ.หวงจื่อเจิ้ง ซึ่งเป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของฮ่องเต้ปูยี
สุนทรียศาสตร์ของกรุงไทเป
ทิวทัศน์เมื่อมองจากชั้น 2 ของ Gallery Life Seeding ลงไป ในอดีตเมื่อเปิดประตูหลัง จะไปถึงริมฝั่งแม้น้ำตั้นสุ่ยได้ |
คุณกัวสูเจิน ประธานบริษัท Rich Development Inc. เป็นผู้ที่รักงานศิลปะเป็นอย่างมาก หลังจากคุณพ่อออกทุนให้ก่อตั้งมูลนิธิกัวมู่เซิง (Kuo Mu Sheng Foundation) ขึ้นในปี 1996 ในปีถัดมาก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์ศิลปะที่อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิแห่งนี้ ในระยะหลังมานี้ ทางมูลนิธิยังได้รับงานซ่อมแซมและบริหารการใช้งานอาคารเก่าแก่จำนวนไม่น้อย เช่น Taipei Story House ที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรุงไทเป Bloom และ Gallery Life Seeding ที่อยู่บนถนนตี๋ฮั่วเจีย รวมไปจนถึงหอพักเก่าของมหาวิทยาลัย National Taiwan University ที่ตั้งอยู่บนถนนเวินโจวเจีย และบ้านพักบนถนนกู๋หลิ่งเจียของอาจารย์ฟางตงเหม่ย (Thomé H. Fang) นักปรัชญาชื่อดัง
Gallery Life Seeding ¡V จากบ้านพักหมอหลวงกลายมาเป็นหอศิลป์ชั้นนำ
เมื่อเราพูดถึงงานศิลปะ คุณกัวสูเจินจะมีเรื่องราวมาสนทนากับเราได้อย่างมากมายไม่รู้จบ แต่เมื่อถูกถามว่า คุณกัวมีวิธีคัดเลือกงานศิลปะมาสะสมอย่างไร คำตอบที่ได้มานั้นกลับเป็นอะไรที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก “ก็เอาของที่ชอบ” จึงทำให้คุณกัวมีของสะสมวางอยู่เต็ม 3 ห้องใหญ่ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกเก็บอยู่ในกล่องผ้าไหมก็ตาม
การที่มีโอกาสได้ค้นพบ Gallery Life Seeding ที่ตั้งอยู่บนถนนตี๋ฮั่วเจีย ตอนที่ 1 ก็เพียงเพราะ “อยากได้พื้นที่ของตัวเองเพื่อใช้ในการส่งเสริมงานศิลปะ” คุณหลิวเหวินเหลียง (劉文良) สามีของคุณกัวสูเจิน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารมูลนิธิกัวมู่เซิง (郭木生文教基金會) ได้เล่าให้ฟังถึงความคิดของภรรยา
Gallery Life Seeding ซึ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2016 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตึกแถวที่ตั้งเรียงรายอยู่บนถนน เดิมทีที่นี่เป็นบ้านพักของ นพ.หวงจื่อเจิ้ง (黃子正) ซึ่งเป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของฮ่องเต้ปูยี แต่หลังจากที่คุณกัวสูเจินทำการปรับปรุงใหม่ ก็ได้กลายมาเป็นพื้นที่สำหรับงานศิลปะในชีวิตประจำวัน พื้นที่ชั้น 1 ถูกแบ่งเป็น 3 ตอนตามลักษณะของอาคาร คือ ส่วนงานศิลปะที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนคั่วเมล็ดกาแฟด้วยหม้อเซรามิกและห้องชากับส่วนจัดแสดง ซึ่งมีการจัดแสดงผลงานของศิลปินไต้หวันอยู่เป็นระยะ
เมื่อเดินเข้าสู่ประตู ก็จะเห็นภาชนะของใช้ในชีวิตประจำวันที่เป็นงานหัตถศิลป์ของไต้หวันและญี่ปุ่นวางจัดแสดงอยู่ |
ในเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา มีการจัดนิทรรศการโถและแจกันเซรามิกของอาจารย์ซือจี้เหยา (施繼堯) โดยเชิญให้นักจัดดอกไม้มาทำการออกแบบและจัดดอกไม้ประกอบเครื่องเซรามิกของ อ.ซือ ทำให้บรรยากาศส่วนจัดแสดงที่เคยดูเคร่งครึมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอันสดใส ซึ่งเป็นแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ในการ “นำเอาศิลปะมาสู่ชีวิตประจำวัน” ของคุณกัวสูเจินได้อย่างเหมาะเจาะ
คุณกัวได้นำเอาชามสีน้ำเงินสำหรับดื่มชาออกมาให้เราได้ชม ในทันทีที่ชามใบนี้ได้สัมผัสกับน้ำ จะปรากฏลายเหมือนน้ำแข็งร้าว และหากใส่น้ำที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน สีของชามจะอ่อนเข้มเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้ชามที่ไร้ชีวิตใบนี้ ดูแล้วราวกับมีชีวิตหายใจได้ทีเดียว
“เครื่องเซรามิกของ อ.ซือจี้เหยา ใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ และไม่มีการใช้โลหะหนักใดๆ ทั้งสิ้น อย่างชามใบนี้ สิ่งที่นำมาใช้ในการเคลือบนั้นได้มาจากหินหยกในแถบฮัวเหลียน ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นของธรรมชาติ หากแต่สีสันและงานฝีมือ ยังมีเอกลักษณ์ที่แปลกตาด้วย” คุณกัวสูเจินกล่าว
อ.ซือจี้เหยา เดินทางไปร่ำเรียนวิชาจากญี่ปุ่น จนสามารถเอาชนะอุปสรรคทางเทคนิคได้สำเร็จ ด้วยการนำเอาหินหยกจากฮัวเหลียนมาใช้ในการเคลือบเครื่องเซรามิก |
Bloom ¡V หอศิลป์อันสุนทรีย์ริมแม่น้ำตั้นสุ่ย
ในช่วง 3 ปีที่ต้องรอใบอนุญาตเปิดดำเนินการของ Gallery Life Seeding จากกรุงไทเปนั้น คุณกัวสูเจิน ซึ่งเป็นคนราศีสิงห์ก็เกิดอาการร้อนรนจนอยู่ไม่ติด มีอยู่วันหนึ่ง คุณกัวได้ไปเดินบนระเบียงชั้นสองที่ทอดยาวไปตามตัวอาคารที่อยู่ติดกัน 10 หลัง เมื่อมองไปเห็นพื้นที่อันโอ่โถงเช่นนี้ ทำให้คุณกัวสูเจินอดใจไม่ได้ ส่งผลให้ Bloom ถูกก่อตั้งขึ้นมา ก่อนจะมี Gallery Life Seeding เสียอีก
คุณกัวใช้พื้นที่ของ Bloom ในการจำหน่ายผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้มีเวทีแสดงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ และเปิดโอกาสให้มีรายได้จากการจำหน่ายผลงานของตัวเองเพื่อนำมาใช้ในการเลี้ยงชีพ อันถือเป็นการช่วยให้เส้นทางในการทำงานศิลปะของพวกเขาเหล่านี้ไม่ต้องสะดุดลง
คุณหลิวเหวินเหลียงบอกกับเราว่า “เราไม่ใช่มหาเศรษฐี จึงไม่สามารถซื้องานศิลปะราคาแพงๆ แต่เรายังพอมีความสามารถอยู่บ้างในการซื้อผลงานที่ตัวเองชื่นชอบมาเก็บสะสมไว้ และยังสามารถให้การสนับสนุนคนรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง” นอกจากนี้ คุณกัวยังเสริมอีกว่า “ขอเพียงมี 1 ในหมื่นคนที่ประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ทุกอย่างที่ทุ่มเทลงไปก็คุ้มค่าแล้ว หรือหากแม้พวกเขาจะไม่ได้มีโอกาสกลายเป็นศิลปินระดับอาจารย์ ก็ยังสามารถมีช่องทางแบบ Bloom ในการนำเอางานศิลปะเข้าไปสู่ชีวิตของคนได้มากมาย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ก็จะทำให้ผู้คนมีบรรทัดฐานทางศิลปะที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกันมิใช่หรือ”
ภายในห้องจัดแสดงได้นำเอางานศิลปะแผ่นกระเบื้องแบบ Majolica ในยุควิกตอเรียของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในของสะสมของคุณกัวสูเจิน มาวางโชว์เอาไว้ |
“หลังการเปิดตัวของ Bloom เราได้รับการติดต่อจากศิลปินรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ยื่นเสนอแผนการจัดนิทรรศการกับเรา ทำให้พื้นที่ของ Bloom ถูกจองจนคิวเต็มภายในเวลาไม่นาน” อะไรที่ทำให้เหล่าศิลปินรุ่นใหม่อยากมาเปิดนิทรรศการที่ Bloom กันนะ? คุณกัวสูเจินบอก “ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงจึงจะสามารถเปิดนิทรรศการในหอศิลป์หรือศูนย์นิทรรศการได้ หากอยากเข้าไปจัดแสดงในแกลอรี่ ผลงานก็ต้องมีจุดขาย” แต่ Bloom ไม่ได้มีข้อจำกัดเช่นนี้ ประกอบกับการที่ผลงานของศิลปินหลายคนถูกซื้อไปเป็นของสะสมหลังจากจัดแสดงที่นี่ ทำให้ Bloom และกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นอย่างมาก
Taipei Story House ¡V ห้องเรียนศิลปะบนเชิงเขาหยวนซาน
Taipei Story House (TSH) สร้างขึ้นในปีค.ศ.1913 ตั้งอยู่ริมฝั่งด้านใต้แม่น้ำจีหลง ในบริเวณเชิงเขาของภูเขาหยวนซาน ในปีค.ศ.2015 หลังจากที่สิทธิ์ในการบริหารกลับมาอยู่ในมือของกรุงไทเป ได้มีการเปิดประมูลให้เอกชนรับสัมปทานไปบริหารงาน “ตอนแรกเพื่อนของพี่ชายอยากจะหาพื้นที่จัดแสดงเครื่องเซรามิกจากยุโรป จะยืมชื่อของมูลนิธิไปขอใช้พื้นที่ต่อ Taipei Story House” คุณกัวสูเจินเสริมว่า “หากจะให้คนอื่นยืมชื่อ มิสู้เราไปขอใช้เองเลยจะไม่ดีกว่าหรือ”
หลังจากนั้น Mr. Ismet Erikan ผู้แทนประเทศตุรกีประจำไต้หวัน ซึ่งรู้จักกับคุณกัวสูเจินมานานหลายปี มีความชอบงานศิลปะเหมือนกันได้ทราบว่า คุณกัวคือผู้ที่ได้สิทธิ์ในการบริหารพื้นที่ของ Taipei Story House จึงได้ติดต่อกับคุณกัวร่วมกันจัดนิทรรศการงานหัตถศิลป์ของตุรกีขึ้นที่นี่ในเดือนกันยายน ค.ศ.2016 นอกจากมีการจัดแสดงศิลปะการทอพรมที่เรียกว่า Kilim ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของตุรกีแล้ว ยังมีการนำเอาเครื่องเซรามิกมาร่วมจัดแสดงด้วย โดยเชิญช่างเซรามิกจากตุรกีมาทำการสาธิตในงาน พร้อมทั้งจัดงานสัมมนาและตลาดนัดสินค้าตุรกีขึ้น ซึ่งผลการจัดงานก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ในปีค.ศ.2015 คุณกัวสูเจินได้รับสิทธิ์ในการบริหาร Taipei Story House ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรุงไทเป |
คุณหวังหย่าถิง (王亞婷) หัวหน้าส่วนจัดนิทรรศการของ Taipei Story House บอกว่า “เราตั้งความหวังไว้ว่าจะบริหารพื้นที่ของที่นี่ให้เหมือนกับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง” แต่การจะไปให้ถึงจุดนั้น สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจละเลยคือ การให้ความรู้ด้านศิลปะกับคนทั่วไป เช่น ในการจัดนิทรรศการ “Story of Majolica” ทาง TSH ได้จัดทำชุด DIY ของกระเบื้อง Majolica ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่มาเข้าชมงานได้มีโอกาสรู้จักกับงานศิลปะบนแผ่นกระเบื้องในยุควิกตอเรียมากขึ้น ผ่านการทำขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง
ชีวิตของคนเราหลีกหนีไม่พ้นสิ่งของต่างๆ หากเลือกได้ คุณกัวสูเจินเห็นว่า ต้องเลือกใช้สิ่งของที่มีความสวยงาม มีความเป็นศิลปะอยู่ในตัว ตัวอย่างเช่น พรม Kilim และเครื่องเซรามิก สะท้อนว่ามนุษย์ไม่ได้ต้องการใช้พรมแค่เพื่อเพิ่มความอบอุ่น หรือใช้ใส่อาหารเท่านั้น งานฝีมือที่ใช้ในการทำสิ่งเหล่านี้ รวมถึงลวดลายต่างๆ ต่างก็ถือเป็นภาพย่อส่วนของวัฒนธรรมตุรกีและชีวิตประจำวันของพวกเขา
สิ่งของที่มีรูปลักษณ์มักจะแฝงไปด้วยคุณค่าแห่งกาลเวลาที่มองไม่เห็น หากแต่มันคือการสืบทอดของความทรงจำ และยังเป็นสื่อกลางของวัฒนธรรม แถมในบางครั้งยังเป็นความคาดหวังสำหรับอนาคตด้วย
นิทรรศการหัตถศิลป์จากตุรกี จัดแสดง Kilim ซึ่งเป็นพรมทอมือที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของตุรกี |
บ้านพักของ อ.ฟางตงเหม่ยและอาคารเก่าแก่บน ถ.เวินโจวเจีย ¡V เงาแห่งปรัชญาที่ถูกเปิดตัวอีกครั้ง
อาคารในแถบต้าเต้าเฉิงเป็นอาคารพาณิชย์ จะมีอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ค่อนข้างสูง หลังการบูรณะซ่อมแซมแล้ว ก็ยังมีพื้นที่มากพอสำหรับการขายต่อ ทำให้มีแรงจูงใจสูงในการอนุรักษ์อาคารเก่าๆ ไว้ ซึ่ง Gallery Life Seeding ก็ได้รับอานิสงส์จากนโยบายการชดเชยด้าน FAR ที่มีขึ้นเพื่ออนุรักษ์อาคารเก่าแก่บนถนนแห่งประวัติศาสตร์สายนี้
สำหรับคุณกัวสูเจินแล้ว การที่มีโอกาสได้มาทำงานบูรณะอาคารเก่าแก่และนำความคึกคักกลับมาสู่ถนนสายนี้นั้น ถือเป็นอะไรที่ “บังเอิญ” เป็นอย่างมาก ในตอนแรกคุณกัวมีแผนจะสร้างอาคารใหม่ซึ่งจำเป็นต้องซื้อพื้นที่ FAR ก่อนจะพบว่าในบริเวณต้าเต้าเฉิงมีอาคารเก่าแก่ที่มีความน่าสนใจหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น อาคารที่กลายมาเป็น Gallery Life Seeding นั้น เป็นที่สะดุดตาคุณกัวด้วยความที่เป็นอาคารในแบบ 3 ตอน ตามแบบลักษณะของบ้านโบราณ ให้ความรู้สึกในแบบย้อนยุคที่ยอดเยี่ยมมาก และในตอนที่ทำการผลักดันโครงการและมีเลขที่บ้านอยู่บนถนนเหอผิงตะวันตก ได้มีโอกาสพบเห็นบ้านเก่าๆ ที่ใกล้จะผุพัง ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของโครงการบนถนนกู๋หลิ่งเจีย มีคนบอกกับคุณกัวว่า นี่ก็คือบ้านพักเก่าของอาจารย์ฟางตงเหม่ย
(Thomé H. Fang) ซึ่งต่อมาภายหลังจึงได้ทราบว่า อ.ฟางตงเหม่ยไม่เพียงแต่จะเป็นนักปรัชญาระดับปรมาจารย์เท่านั้น หากแต่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นราชครูด้วย โดยในสมัยก่อน เมื่อครั้งประธานาธิบดีเจียงไคเช็คยังมีชีวิตอยู่ ได้เดินทางมาเยี่ยมคารวะเพื่อขอรับคำแนะนำจาก อ.ฟางอยู่หลายครั้ง อีกทั้งการที่ อ.ฟางได้ทำการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง ทำให้คุณกัวสูเจินที่ในระยะหลังมานี้ให้ความสนใจศึกษาธรรมะอยู่แล้ว เกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจที่จะทำการบูรณะปฏิสังขรณ์บ้านพักเก่าของ อ.ฟางตงเหม่ยขึ้นมา เพื่อคนรุ่นหลังได้มีโอกาสรู้จักเรื่องราวของนักปรัชญาระดับตำนานท่านนี้อีกครั้ง
กระเบื้องเซรามิกที่มีการลงลวดลายของต้นไม้แห่งชีวิต ถูกนำมาจัดแสดงในนิทรรศการตุรกี |
ทั้งนี้ จากการที่กรรมสิทธิ์ในบ้านพักเก่าของ อ.ฟางตงเหม่ย ถือเป็นของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) และหลังจากที่คุณกัวสูเจินได้ทำการติดต่อไปมาหาสู่กับ NTU บ่อยครั้งเข้า ก็ได้มีโอกาสพบเห็นว่า อาคารหอพักเก่าของทางมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในแถบถนนเวินโจวเจียและถนนเหอผิงตะวันออก ตอนที่ 1 จำเป็นต้องได้รับการบูรณะซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน ซึ่งในจำนวนนี้ บริเวณสวนด้านข้างของอาคารเก่าแห่งหนึ่งได้ปลูกต้นสนเก่าแก่ไว้ 7 ต้น ทำให้บริเวณสวนมีความเขียวชอุ่มเป็นอย่างมาก และเป็นอะไรที่ดึงดูดคุณกัวเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตัดสินใจขอสัมปทานเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการบริหารพื้นที่ และหลังทำการบูรณะซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว อาคารแห่งนี้จะเปิดให้บริการต่อสาธารณชนภายในสิ้นปีนี้ โดยในชั้นนี้ได้วางแผนไว้ว่า จะนำมาใช้เป็นหอศิลป์จัดแสดงศิลปะพุทธศาสนาเถรวาทโบราณ พร้อมทั้งจัดบรรยายและสัมมนาทางด้านพุทธศาสตร์และปรัชญาด้วย
คุณกัวสูเจินได้ผสมผานศิลปวัฒนธรรมเข้ากับสถาปัตยกรรม พร้อมทั้งทำการบูรณะอาคารเก่าแก่และนำกลับมาใช้งานใหม่ ในภาพคือสภาพก่อนการบูรณะของหอพักเก่ามหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันบนถนนเวินโจวเจีย (ภาพจาก กัวสูเจิน) |
ใช้พื้นที่ในการเล่าเรื่องราว ¡V บทบรรเลงคู่ขนานระหว่างศิลปะกับสถาปัตยกรรม
การบริหารดูแลและบูรณะซ่อมแซมอาคารเก่าแก่ควบคู่ไปกับการส่งเสริมงานศิลปะจำเป็นจะต้องใช้เงินลงทุนในจำนวนไม่น้อย ทำให้บุตรสาวซึ่งมีอายุเพียง 17 ปี เคยสอบถามคุณแม่ด้วยความกังวลว่า “คุณแม่ เงินจะหมดหรือเปล่า” คุณกัวสูเจินบอกว่า “มีเงินมากเกินไปก็เปล่าประโยชน์ อะไรที่ชอบทำและอยากจะทำ ก็ทำไปเลย”
แม้จะปรับตัวได้ง่าย แต่ก็ไม่ปล่อยปละละเลยในด้านการบริหารงาน ในทุกๆ วัน คุณกัวสูเจินจะอ่านรายงานต่างๆ อย่างละเอียดด้วยตัวเอง ก่อนจะทำการผนวกทรัพยากรทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการนำพื้นที่มาใช้งาน เช่น มีการกันพื้นที่ส่วนหนึ่งของ Bloom ไว้สำหรับนำเอาสินค้าขายดีจากนิทรรศการหัตถศิลป์ของตุรกี เช่น พรม Kilim หรือเครื่องเซรามิกแบบย้อนยุคมาวางขายด้วยเพื่อเพิ่มรายได้
คุณกัวสูเจินไม่เคยพูดตรงๆ ว่า ตัวเองได้พบเห็นอะไรในงานศิลปะจนทำให้ยอมทุ่มเททุกอย่างไปกับมันตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คุณกัวบอกแต่เพียงว่า “เมื่อยืนอยู่ตรงหน้างานศิลปะ ได้มองมัน ได้ชื่นชมความงามของมัน ทำให้ลืมไปหมดเลยว่า ตัวเองมีความกังวลใจอะไรอยู่”
คุณกัวสูเจินกล่าวว่า “เมื่อยืนอยู่ตรงหน้างานศิลปะ ได้มองมัน ได้ชื่นชมความงามของมัน ทำให้ลืมไปหมดเลยว่า ตัวเองมีความกังวลใจอะไรอยู่” |
เราจึงถามคุณกัวสูเจินว่า หากไม่ต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่อยากทำที่สุดคืออะไร? คุณกัวตอบกลับมาว่า “หากเป็นไปได้ ในอนาคตก็อยากจะสร้างพิพิธภัณฑ์แบบ Miho Museum ขึ้นสักแห่งบนภูเขาหยางหมิงซาน” พิพิธภัณฑ์ Miho Museum ซึ่งออกแบบโดยอาจารย์เป้ยอวี้หมิง (I.M. Pei) สถาปนิกชื่อดังระดับโลก เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้เก็บรักษางานศิลปะซึ่งเป็นของสะสมล้ำค่าของตระกูลฮิเดอากิมากกว่า 2,000 ชิ้น บางทีในสถานที่ที่มีความกว้างขวางแบบเดียวกันนั้น อาจจะเพียงพอให้ของสะสมอันล้ำค่าของคุณกัวสูเจินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้มีโอกาสออกมาจากกล่องผ้าไหมเพื่อชื่นชมโลกภายนอกกันอย่างพร้อมหน้า ก็เหมือนกับเหล่าอาคารเก่าแก่ที่ผ่านการบูรณะจากคุณกัว ที่ไม่เพียงแต่จะได้รับการซ่อมแซมทางกายภาพจนกลับมาอยู่ในสภาพอันสมบูรณ์ หากแต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพของการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างศิลปะกับงานบริหาร ทำให้ตำนานและเรื่องราวที่เคยถูกลบเลือนไปตามกาลเวลาได้มีโอกาสกลับมาส่องแสงอันเจิดจรัสสู่สายตาของพวกเราใหม่อีกครั้ง