ช้ามไปยังส่วนข้อมูลหลัก
รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen Davidson ผู้สื่อข่าวนสพ. Guardian Australia ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน
2020-12-08
New Southbound Policy。นายอู๋เจาเซี่ย รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen Davidson ผู้สื่อข่าวนสพ. Guardian Australia ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน (ภาพจาก MOFA)
นายอู๋เจาเซี่ย รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen Davidson ผู้สื่อข่าวนสพ. Guardian Australia ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน (ภาพจาก MOFA)

สาระสำคัญของเนื้อข่าว :
♦ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen Davidson ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Guardian Australia ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน

♦ ไต้หวันจะยังคงยื่นขออนุมัติซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันประเทศกับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องความมั่นคงและธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยของไต้หวันให้คงอยู่สืบไป

♦ ทางการไต้หวันขอประณามต่อพฤติกรรมการทำลายค่านิยมด้านประชาธิปไตยของชาวฮ่องกงของจีน พร้อมทั้งจะให้การสนับสนุนและยื่นมือเข้าช่วยเหลือประชาชนฮ่องกงอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องต่อไป

♦ เมื่อช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อออสเตรเลีย โดยรมว. ต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ยืนยันหนักแน่นว่า ออสเตรเลียจะไม่มีวันโดดเดี่ยว เพราะไต้หวันจะยืนเคียงข้างออสเตรเลีย และพร้อมให้การสนับสนุน ตลอดจนเรียกร้องให้ประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันประสานความร่วมมืออย่างสามัคคี
-------------------------------------------
MOFA วันที่ 7 ธ.ค. 63

 

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายอู๋เจาเซี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ไต้หวัน) ได้ให้สัมภาษณ์แก่ Ms. Helen Davidson ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Guardian Australia ที่ประจำอยู่ในไต้หวัน โดยบทสัมภาษณ์ข้างต้นได้ถูกเผยแพร่ผ่านรายงานข่าวบนอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยในระหว่างการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ รมว.อู๋ฯ ได้ร่วมหารือเชิงลึกในประเด็นต่างๆ กับผู้สื่อข่าว อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวัน การเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศของไต้หวัน ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน – ออสเตรเลีย เป็นต้น

 

รมว.อู๋ฯ ได้เน้นย้ำในระหว่างที่ชี้แจงถึงประเด็นพฤติกรรมการข่มขู่ด้วยกำลังทางทหารและการแผ่ขยายอำนาจเผด็จการของจีน โดยระบุว่า ไต้หวันจะยังคงยื่นขออนุมัติซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันประเทศกับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสำแดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องความมั่นคงและธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยของไต้หวันให้คงอยู่สืบไป โดยไต้หวันจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข่าวกรองและประสบการณ์กับประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันต่อไป ประกอบด้วย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อร่วมปกป้องค่านิยมสากลที่มีร่วมกัน รวมถึงสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ต่อกรณีที่รัฐบาลจีนได้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ สำหรับฮ่องกง พร้อมทั้งทำลายค่านิยมด้านประชาธิปไตยของชาวฮ่องกง ทางการไต้หวันขอประณามต่อพฤติกรรมดังกล่าวของจีน พร้อมทั้งจะให้การสนับสนุนและยื่นมือเข้าช่วยเหลือประชาชนฮ่องกงอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องต่อไป

 

สำหรับประเด็นการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) ของไต้หวัน รมว. อู๋ฯ ได้ชี้แจงว่า พลังเสียงสนับสนุนให้ไต้หวันเข้ามีส่วนร่วมในการประชุม WHA ในปีนี้ ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูงของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงหน่วยงานสภานิติบัญญัติของหลายประเทศ ต่างให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างเปิดเผย แม้ว่ารัฐบาลจีนจะทำการขัดขวางอย่างเต็มกำลัง พร้อมทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงของญัตติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN) ฉบับที่ 2758 แต่เสียงสนับสนุนไต้หวันจากนานาชาตินับวันกลับยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ซึ่งไต้หวันมีความมั่นใจในการผลักดันแผนผลักดันเข้าร่วมการประชุม WHA ในอนาคตต่อไป พร้อมนี้ รมว.อู๋ฯ ยังได้เน้นย้ำว่า สิทธิมนุษยชนด้านสุขภาพของประชาชนชาวไต้หวัน 23 ล้านคน มิอาจถูกมองข้ามได้

 

รมว.อู๋ฯ ได้กล่าวถึงกรณีเมื่อช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อออสเตรเลีย โดยรมว. อู๋ฯ ยืนยันหนักแน่นว่า ออสเตรเลียจะไม่มีวันโดดเดี่ยว เพราะไต้หวันจะยืนเคียงข้างออสเตรเลีย และพร้อมให้การสนับสนุน ตลอดจนเรียกร้องให้ประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันประสานความร่วมมืออย่างสามัคคี จับมือกับออสเตรเลียในการเผชิญหน้ากับความกดดันและการข่มขู่ที่ไม่เหมาะสมจากจีน

 

นสพ. Guardian เป็นหนังสือพิมพ์รายวันระดับชาติของอังกฤษ และเป็นเว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ทั่วโลกมีผู้ติดตามเป็นจำนวนกว่า 40 ล้านคน ในจำนวนนี้ เฉพาะนสพ. Guardian Australia ก็มีผู้ติดตามเป็นจำนวนเกิน 1 ล้านคนแล้ว